คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2083/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การกระทำผิดของจำเลยฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตทั้งในครั้งก่อนและครั้งหลังเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันตลอดมาตราบใดที่ยังคงครอบครองอาวุธปืนกระบอกเดียวกันและเครื่องกระสุนปืนรายเดียวกันก็เป็นการกระทำกรรมเดียวกันเมื่อศาลพิพากษาลงโทษการกระทำในครั้งหลังแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิจะนำคดีการกระทำผิดครั้งแรกมาฟ้องอีกเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(4) ส่วนข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวเป็นการกระทำต่างกรรมกันเพราะเจตนาในการกระทำผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะในแต่ละครั้งย่อมเป็น ความผิดในตัวของมันเองศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้แม้ในคดีก่อนศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้มาแล้วก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ อาญา ตาม พระราชบัญญัติ อาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และ สิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ , 72, 72 ทวิ คำสั่ง ของ คณะปฏิรูปการปกครอง แผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 92, 371 และ ขอให้ เพิ่มโทษ จำเลยตาม กฎหมาย
จำเลย ให้การรับสารภาพ และ รับ ว่า เป็น บุคคล คนเดียว กับ จำเลยใน คดี ที่ โจทก์ ขอเพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม พระราชบัญญัติ อาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และ สิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง , 72 วรรคสาม , 72 ทวิ วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 92, 371 ให้ ลงโทษ ฐาน มี อาวุธปืนมี ทะเบียน ของ ผู้อื่น ซึ่ง ได้รับ ใบอนุญาต และ ฐาน พา อาวุธปืน ติดตัว ไป โดยไม่ได้ รับ ใบอนุญาต พกพา กระทง ละ 6 เดือน รวม 2 กระทง จำคุก 1 ปีให้ เพิ่มโทษ เพราะ ไม่เข็ดหลาบ อีก หนึ่ง ใน สาม เป็น จำคุก 1 ปี 4 เดือนจำเลย ให้การรับสารภาพ มีเหตุ บรรเทา โทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ลดโทษ ให้ กึ่งหนึ่ง คง จำคุก 8 เดือน
จำเลย อุทธรณ์ ว่า โจทก์ ได้ ฟ้อง จำเลย ฐาน มี อาวุธปืน และ พา อาวุธปืนโดย ไม่ได้ รับ อนุญาต ตาม คดีอาญา หมายเลขดำ ที่ 1395/2536 หมายเลขแดงที่ 1230/2536 ของ ศาลชั้นต้น ซึ่ง เป็น อาวุธปืน กระบอก เดียว กับ ที่โจทก์ นำ มา ฟ้อง จำเลย ใน คดี นี้ ใน คดี ดังกล่าว จำเลย ให้การรับสารภาพศาลชั้นต้น พิพากษา จำคุก 1 ปี 4 เดือน ปรับ 7,200 บาท ลดโทษ แล้วคง จำคุก จำเลย 8 เดือน ปรับ 3,600 บาท โทษ จำคุก รอ ไว้ 2 ปีคดีถึงที่สุด แล้ว นอกจาก อาวุธปืน กระบอก นี้ แล้ว จำเลย ไม่เคย กระทำความผิด อีก ขอให้ ลงโทษ สถาน เบา และ ให้ รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 วินิจฉัย ว่า เมื่อ ได้ความ ว่า อาวุธปืน ของกลางใน คดี หมายเลขแดง ที่ 1230/2536 ของ ศาลชั้นต้น เป็น อาวุธปืนกระบอก เดียว กับ ที่ จำเลย ถูก ฟ้อง ใน คดี นี้ ดังนั้น สิทธิ นำ คดีอาญามา ฟ้อง ของ โจทก์ ย่อม ระงับ ไป เมื่อ มี คำพิพากษา เสร็จเด็ดขาด ใน ความผิดที่ ได้ ฟ้อง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)แล้ว พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “คดี มี ปัญหา ที่ ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ โจทก์ว่า ศาล จะ พิพากษา ลงโทษ จำเลย ใน คดี นี้ ได้ หรือไม่ โดย โจทก์ ฎีกา ว่าคดีอาญา หมายเลขแดง ที่ 1230/2536 ของ ศาลชั้นต้น เป็น การกระทำ ผิดต่าง กรรม ต่าง วาระ และ ต่าง สถานที่ กัน กับ คดี นี้ ไม่เป็น ฟ้องซ้ำตาม ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 วินิจฉัย นั้น เห็นว่า ตาม รายงาน กระบวนพิจารณาของ ศาลชั้นต้น ที่ สอบ โจทก์ และ จำเลย เมื่อ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2537ได้ความ ว่า ข้อเท็จจริง ใน คดี นี้ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร อำเภอ ท่าตะโก ได้ ตั้ง ข้อหา จำเลย ไว้ ว่า เมื่อ วันที่ 22 สิงหาคม 2535จำเลย กระทำผิด ฐาน ยักยอก อาวุธปืน ของ นาย วิโรจน์ ชูชิต และ กระทำผิด ข้อหา มี อาวุธปืน กับ เครื่องกระสุนปืน ไว้ ใน ครอบครอง โดย ไม่ได้ รับ อนุญาตกับ ข้อหา พา อาวุธ ไป ใน เมือง หมู่บ้าน หรือ ทางสาธารณะ เหตุ เกิด ที่ตำบล วังมหากร อำเภอท่าตะโก จังหวัด นครสวรรค์ ชั้นสอบสวน จำเลย หลบหนี พนักงานสอบสวน ออกหมายจับ ไว้ ต่อมา วันที่ 10 ตุลาคม 2536เวลา กลางคืน หลัง เที่ยง จำเลย ถูก เจ้าพนักงาน ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรอำเภอ เก้าเลี้ยว จับกุม พร้อม อาวุธปืน และ เครื่องกระสุนปืน ซึ่ง จำเลย มีไว้ และ พา ไป ใน หมู่บ้าน หมู่ ที่ 1 ตำบล เก้าเลี้ยว อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัด นครสวรรค์ ซึ่ง เป็น อาวุธปืน กระบอก เดียว กัน และเครื่องกระสุนปืน ราย เดียว กัน กับ คดี นี้ ต่อมา จำเลย ถูก ฟ้อง ต่อศาลชั้นต้น ตาม คดีอาญา หมายเลขแดง ที่ 1230/2536 ใน คดี ดังกล่าวจำเลย ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้น พิพากษา จำคุก 1 ปี 4 เดือนปรับ 7,200 บาท ลดโทษ ให้ กึ่งหนึ่ง แล้ว คง จำคุก 8 เดือน ปรับ 3,600บาท โทษ จำคุก รอการลงโทษ ไว้ 2 ปี คดีถึงที่สุด เมื่อ ศาลชั้นต้นปล่อย ตัว จำเลย ทาง พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร อำเภอ ท่าตะโก รับ ตัว จำเลย ส่ง ให้ พนักงานอัยการ ฟ้อง เป็น คดี นี้ จาก ข้อเท็จจริงดังกล่าว แสดง ว่า ตั้งแต่ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร อำเภอ ท่าตะโก ตั้ง ข้อหา จำเลย ฐาน มี อาวุธปืน และ เครื่องกระสุนปืน ไว้ ใน ครอบครองโดย ไม่ได้ รับ อนุญาต ใน คดี นี้ นั้น จำเลย ก็ ยัง คง ครอบครอง อาวุธปืนและ เครื่องกระสุนปืน ดังกล่าว ตลอดมา จน กระทั่ง ถูกจับ ครั้งหลังใน คดีอาญา หมายเลขแดง ที่ 1230/2536 ของ ศาลชั้นต้น การกระทำ ผิดของ จำเลย ฐาน มี อาวุธปืน และ เครื่องกระสุนปืน ไว้ ใน ครอบครอง โดย ไม่ได้รับ อนุญาต ทั้ง ใน ครั้งก่อน และ ครั้งหลัง เป็น การกระทำ ที่ ต่อเนื่อง กันตลอดมา ตราบใด ที่ ยัง คง ครอบครอง อาวุธปืน และ เครื่องกระสุนปืน ดังกล่าวอยู่ ก็ เป็น การกระทำ กรรมเดียว กัน เมื่อ การกระทำ อันเป็น กรรมเดียว กันนั้น ปรากฏว่า ศาลชั้นต้น ใน คดีอาญา หมายเลขแดง ที่ 1230/2536 ได้ มีคำพิพากษา ลงโทษ จำเลย ใน ความผิด ฐาน มี อาวุธปืน และ เครื่องกระสุนปืนราย เดียว กับ ที่ จำเลย มีไว้ ตลอดมา ตั้งแต่ ถูก กล่าวหา ที่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอ ท่าตะโก ซึ่ง ต่อมา ฟ้อง เป็น คดี นี้ เท่ากับ การกระทำ อัน นั้น ได้ ฟ้อง และ ศาล ได้ มี คำพิพากษา เสร็จเด็ดขาด ใน ความผิด ซึ่ง ได้ ฟ้อง แล้วดังนั้น โจทก์ ย่อม ไม่มี สิทธิ จะ นำ คดี นี้ มา ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลยใน ความผิด ฐาน มี อาวุธปืน และ เครื่องกระสุนปืน ไว้ ใน ครอบครอง โดยไม่ได้ รับ อนุญาต เป็น คดี นี้ อีก เพราะ สิทธิ นำ คดีอาญา มา ฟ้อง เป็นอัน ระงับ ไป ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)ส่วน ข้อหา พา อาวุธปืน ติดตัว ไป ใน เมือง หมู่บ้าน หรือ ทางสาธารณะโดย ไม่ได้ รับ อนุญาต ให้ มี อาวุธปืน ติดตัว ตาม พระราชบัญญัติ อาวุธปืน ฯมาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง , 72 ทวิ วรรคสอง และ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 นั้น เห็นว่า ใน คดีอาญา หมายเลขแดง ที่ 1230/2536โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 10 ตุลาคม 2536 จำเลย พา อาวุธปืน ติดตัวไป ใน บริเวณ ถนน ใน หมู่บ้าน หมู่ ที่ 1 ตำบล เก้าเลี้ยว อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัด นครสวรรค์ ส่วน คดี นี้ โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 22 สิงหาคม2535 จำเลย พา อาวุธปืน ติดตัว ไป ใน หมู่ ที่ 6 ตำบล วังมหากร อำเภอ ท่าตะโก จังหวัด นครสวรรค์ การกระทำ ดังกล่าว เป็น การกระทำ ต่าง กรรม กัน เพราะ เจตนา ใน การกระทำ ผิด ฐาน พา อาวุธปืน ติดตัว ไป ใน เมืองหมู่บ้าน หรือ ทางสาธารณะ ใน แต่ละ ครั้ง ย่อม เป็น ความผิด ใน ตัว ของ มัน เองเมื่อ จำเลย ให้การรับสารภาพ ตาม ฟ้อง ใน ข้อหา นี้ ข้อเท็จจริง จึง ฟังได้ตาม คำรับสารภาพ ของ จำเลย ว่า จำเลย ได้ กระทำผิด ใน ข้อหา นี้ ตาม ฟ้องศาล มีอำนาจ พิพากษา ได้ ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายก ฟ้อง ข้อหา นี้ด้วย นั้น ศาลฎีกา ไม่เห็น พ้อง ด้วย ฎีกา ของ โจทก์ ฟังขึ้น บางส่วน ”
พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ ลงโทษ จำเลย ฐาน พา อาวุธปืน ติดตัว ไป ใน เมืองหมู่บ้าน หรือ ทางสาธารณะ โดย ไม่ได้ รับ อนุญาต ให้ มี อาวุธปืน ติดตัวจำคุก 3 เดือน และ ปรับ 6,000 บาท เพิ่มโทษ เพราะ ไม่เข็ดหลาบตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 หนึ่ง ใน สาม เป็น จำคุก 4 เดือนและ ปรับ 8,000 บาท จำเลย ให้การรับสารภาพ มีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษให้ กึ่งหนึ่ง ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คง จำคุก 2 เดือนและ ปรับ 4,000 บาท โทษ จำคุก ให้ยก เสีย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 55ไม่ชำระ ค่าปรับ ให้ จัดการ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30นอกจาก ที่ แก้ คง ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ภาค 2

Share