คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2190/2563

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับหมายเรียกให้มาเป็นพยาน เมื่อถึงวันนัดกลับไม่มาและไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับเพื่อเอาตัวมาเป็นพยานแต่ไม่ได้ตัวมาจนต้องงดสืบพยาน พฤติการณ์ในการหลบหนีและไม่ยอมมาเบิกความในชั้นพิจารณาของผู้เสียหายที่ 1 จึงมีเหตุจำเป็นและมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังบันทึกคำให้การของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นพยานบอกเล่า ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 วรรคสอง (2) และถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่จะรับฟังบันทึกคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ที่เบิกความไว้ในคดีอื่น ประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/5
คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ในคดีอื่นที่พวกของจำเลยถูกฟ้องว่าร่วมกระทำผิดกับจำเลยแม้เบิกความหลังเกิดเหตุถึง 9 ปีเศษ ยังสอดคล้องกับบันทึกคำให้การของผู้เสียหายที่ 1 ที่เป็นพยานบอกเล่า ซึ่งผู้เสียหายที่ 1 ได้เล่าเหตุการณ์การกระทำผิดของจำเลยกับพวกในเวลาใกล้ชิดกับเหตุ และชี้ภาพถ่ายว่าจำเลยเป็นผู้ที่ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 อีกทั้งยืนยันถึงเหตุที่จำจำเลยได้ จึงเป็นพยานหลักฐานที่มีเหตุผลอันหนักแน่น ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง รับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 277, 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม (เดิม), 317 วรรคสาม (ที่ถูก 317 วรรคสาม (เดิม)) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง (ที่ถูก โทรมเด็กหญิง) จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 10 ปี รวมทุกกระทงแล้วคงให้จำคุกตลอดชีวิตสถานเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นตามที่คู่ความไม่นำสืบโต้แย้งกันว่า เด็กหญิง พ. ผู้เสียหายที่ 1 เป็นบุตรของนาง ห. ผู้เสียหายที่ 2 กับนาย ป. ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 อายุ 14 ปีเศษ พักอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ 2 ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช วันที่ 2 มกราคม 2542 ผู้เสียหายทั้งสองไปร้องทุกข์ต่อพันตำรวจโท ล. พนักงานสอบสวนว่า เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2541 เวลา 23 นาฬิกา จำเลยกับพวกอีก 2 คน พาผู้เสียหายที่ 1 ไปข่มขืนกระทำชำเราที่ขนำในสวนเงาะ พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ล.
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายที่ 1 มาเบิกความเป็นพยาน คงมีเพียงบันทึกคำให้การของผู้เสียหายที่ 1 ที่ให้การยืนยันถึงตัวคนร้ายที่ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา และชี้ภาพถ่ายว่าจำเลยเป็นผู้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 เป็นคนสุดท้าย อันเป็นเพียงพยานบอกเล่า ซึ่งในการวินิจฉัยพยานบอกเล่าที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้านศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 ก็ตาม แต่คดีนี้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับหมายเรียกให้มาเป็นพยานที่ศาล เมื่อถึงวันนัดกลับไม่มาและไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับเพื่อเอาตัวมาเป็นพยานแต่ไม่ได้ตัวมาจนต้องงดสืบพยาน พฤติการณ์ในการหลบหนีและไม่ยอมมาเบิกความในชั้นพิจารณาของผู้เสียหายที่ 1 ดังกล่าว จึงมีเหตุจำเป็นและมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (2) และถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่จะรับฟังบันทึกคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ที่เบิกความไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 149/2551 ของศาลชั้นต้น ประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/5 ซึ่งผู้เสียหายที่ 1 เบิกความยืนยันในคดีที่นาย ส. ถูกฟ้องข้างต้นว่า ขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 รอนางสาว น. และนางสาว ต. อยู่ที่บ้านนาย ว. ผู้เสียหายที่ 1 ขอให้นาย ว. พาไปส่งที่บ้านนางสาว น. แต่นาย ว. บอกกว่าไม่มีรถและให้นาย ส. กับพวกไปส่งผู้เสียหายที่ 1 แทน จำเลยเป็นคนขับรถจักรยานยนต์ ผู้เสียหายที่ 1 นั่งซ้อนตรงกลาง ส่วนนาย ส. นั่งซ้อนท้ายหลังสุด จำเลยและนาย ส. ไม่ได้พาผู้เสียหายที่ 1 ไปส่งที่บ้านนางสาว น. แต่กลับพาไปที่ขนำร้างในสวนผลไม้ นาย ส. ดึงตัวผู้เสียหายที่ 1 เข้าไปในขนำแล้วกอด ผู้เสียหายที่ 1 ขัดขืนจึงถูกชกท้อง นาย ส. ถอดกางเกงผู้เสียหายที่ 1 และกางเกงตนเองแล้วเอาอวัยวะเพศสอดใส่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ระหว่างนั้นผู้เสียหายที่ 1 ได้ยินเสียงตะโกนบอกนาย ส. ว่า ไอ้ ช. มึงออกมาได้แล้ว และมีชายอีกคนหนึ่งตะโกนว่า ไอ้ ล. มึงไม่ต้องยุ่งมันเสร็จมันก็ออกมาเอง นาย ส. ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 เสร็จแล้วเพื่อนของนาย ส. ก็เข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ต่อ ระหว่างนั้นจำเลยตะโกนบอกให้รีบออกไป ผู้ชายคนดังกล่าวเหมือนไม่สบอารมณ์และยังไม่สำเร็จความใคร่แต่ก็รีบออกไป จากนั้นจำเลยเข้ามาผลักผู้เสียหายที่ 1 ให้นอนลงและชักอวัยวะเพศของตนออกมาสอดใส่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 นานประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วดึงอวัยวะเพศออกมาปล่อยน้ำอสุจิบริเวณหน้าท้องของผู้เสียหายที่ 1 จากนั้นมีชายคนหนึ่งตะโกนว่า กูเอาด้วย แล้วเข้ามาทำทีนอนทับร่างผู้เสียหายที่ 1 บอกว่า อย่าร้องอยู่นิ่ง ๆ หากเพื่อนไปแล้วจะช่วยเอง เมื่อนาย ส. กับพวกขับรถจักรยานยนต์ออกไปชายคนดังกล่าวลุกขึ้นบอกให้ผู้เสียหายที่ 1 สวมกางเกง แล้วพาผู้เสียหายที่ 1 ไปนอนบ้านญาติของตน จนกระทั่งรุ่งเช้าผู้เสียหายที่ 1 บอกให้พาไปส่งที่บ้านนางสาว ต. เพื่อนอีกคนหนึ่ง และเล่าเรื่องที่ถูกข่มขืนกระทำชำเราให้นางสาว ต. ฟัง จากนั้นจึงกลับบ้านของตนแล้วเล่าเรื่องให้สามีและผู้เสียหายที่ 2 ฟัง แล้วไปร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรลานสกา ซึ่งคำเบิกความในคดีดังกล่าวหลังเกิดเหตุถึง 9 ปีเศษ ยังสอดคล้องกับพยานโจทก์ข้างต้นซึ่งผู้เสียหายที่ 1 ได้บอกเล่าเหตุการณ์ รายละเอียดและขั้นตอนการกระทำผิดของจำเลยกับพวกในเวลาใกล้ชิดกับเหตุ ยืนยันถึงตัวคนร้ายที่ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 และชี้ภาพถ่ายว่าจำเลยเป็นผู้ที่ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 เป็นคนสุดท้าย อีกทั้งผู้เสียหายที่ 1 ยืนยันถึงเหตุที่จำจำเลยได้ เนื่องจากเห็นจำเลยกับพวกตั้งแต่ตอนที่อยู่หน้ามหาวิทยาลัย ร. และที่บ้านนาย ว. ซึ่งมีแสงสว่างสามารถมองเห็นและจดจำใบหน้าจำเลยกับพวกได้ นอกจากนั้นขณะที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปยังขนำที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายที่ 1 นั่งซ้อนตรงกลางรถที่จำเลยขับไปโดยตลอด เมื่อพนักงานสอบสวนนำภาพถ่ายมาให้ดูผู้เสียหายที่ 1 ก็สามารถจดจำและยืนยันได้ว่าจำเลยคือนาย ล. ซึ่งข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 เป็นคนสุดท้าย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีเหตุผลหนักแน่น ที่จำเลยต่อสู้โดยอ้างฐานที่อยู่ ไม่อาจฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยร่วมเป็นคนร้ายที่ได้กระทำความผิดในคดีนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดี ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยข้างต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share