คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2082/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องร้องขอให้คืนของกลางที่ศาลพิพากษาให้ริบ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งว่าพยานหลักฐานของผู้ร้องยังรับฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของของกลาง ให้ยกคำร้องดังนี้เท่ากับฟังว่าผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าของของกลางอันแท้จริงนั่นเอง ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอคืนของกลางอีก จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ต้องห้ามตามประมวลพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 จะอ้างว่าคำสั่งตามคำร้องฉบับก่อนนั้นยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าของแท้จริงหาได้ไม่.

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและสั่งริบรถจักรยานยนต์ของกลาง คดีถึงที่สุด ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๑๙ ว่าของกลางเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลย จึงขอคืนของกลาง ศาลไต่สวนแล้วสั่งว่าพยานหลักฐานของผู้ร้องยังรับฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลาง ให้ยกคำร้อง ต่อมาวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๙ ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอของกลางคืนมีข้อความทำนองเดียวกับคำร้องฉบับแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาเพราะผู้ร้องเคยร้องมาครั้งหนึ่งแล้ว
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เมื่อคำพิพากษาให้ริบของกลางถึงที่สุดแล้วผู้ใดมาร้องขอของกลางคืนโดยอ้างว่าเป็นของตนไม่ได้รู้เห็นกับการกระทำผิดของจำเลยผู้นั้นจะต้องนำสืบให้ฟังได้เช่นนั้น เมื่อพยานที่ผู้ร้องนำสืบฟังไม่ได้ว่าของกลางเป็นของผู้ร้องดังคำร้อง ก็เท่ากับฟังว่าผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าของของกลางอันแท้จริงนั่นเอง การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้คืนของกลางขึ้นมาใหม่ ก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๔
พิพากษายืน.

Share