แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายหลายทีโดยเจตนาฆ่าจำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288, 297 คำบรรยายฟ้องดังกล่าวยืนยันเจตนาในการกระทำผิดของจำเลยว่ามีเจตนาฆ่าผู้เสียหายแต่เพียงสถานเดียวส่วนที่บรรยายต่อมาว่าผู้เสียหายเพียงแต่ได้รับอันตรายแก่กายสาหัสนั้น เป็นแต่เพียงผลที่เกิดจากความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้เสียหายเท่านั้น แม้โจทก์จะอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วย ก็เป็นการขอตามผลที่เกิดจากการกระทำผิดของจำเลย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความผิดตามที่โจทก์บรรยายยืนยันมาแล้วเท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80,78 จำคุก 6 ปี 8 เดือนศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297, 78 จำคุก 2 ปีเป็นการพิพากษาแก้ทั้งบทและแก้ทั้งโทษ จึงเป็นการแก้ไขมากโจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยใช้มีดปลายแหลม 2 คม เฉพาะตัวมีดยาว 17 เซนติเมตรกว้าง 2 เซนติเมตรแทงผู้เสียหายครั้งแรกถูกที่โคนแขนซ้ายเพราะผู้เสียหายเอี้ยวหลบทันเป็นการแทงในระดับทรวงอกที่มีอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกาย เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนี จำเลยยังวิ่งไล่ตามและแทงซ้ำอีกที่ด้านหลังถูกบริเวณเอวจนคมมีดทะลุลำไส้ใหญ่ แสดงว่าเป็นการแทงโดยแรง ผู้เสียหายต้องวิ่งหนีและร้องเรียกให้คนช่วย จำเลยจึงได้หลบหนีไป แพทย์ผู้ตรวจเบิกความว่าบาดแผลของผู้เสียหายหากรักษาไม่ทันท่วงทีอาจถึงแก่ความตายได้และจะต้องใช้เวลารักษาประมาณ 60 วันพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยแทงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลม ๒ คม แทงผู้เสียหายหลายทีโดยเจตนาฆ่า แต่ผู้เสียหายเพียงได้รับบาดเจ็บสาหัสป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ๒๐ วัน และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐,๒๘๘,๒๙๗ และริบมีดของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ริบมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่า เพียงแต่ทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ยืนยันเจตนาในการกระทำผิดของจำเลยว่ามีเจตนาฆ่าผู้เสียหายแต่เพียงสถานเดียว ส่วนที่บรรยายต่อมาว่าผู้เสียหายเพียงแต่ได้รับอันตรายแก่กายสาหัสป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ๒๐ วัน และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วัน เป็นแต่เพียงผลที่เกิดจากความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้เสียหายเท่านั้น แม้ผลอันนี้จะตรงกับผลที่เกิดจากการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัส แต่โจทก์ก็มิได้บรรยายฟ้องยืนยันเจตนาของจำเลยในการกระทำผิดฐานนี้ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องในความผิดฐานนี้ด้วย แม้โจทก์จะอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ มาในคำขอท้ายฟ้องด้วย ก็เป็นการขอตามผลที่เกิดจากการกระทำผิดของจำเลยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความผิดตามที่โจทก์บรรยายยืนยันมาแล้วเท่านั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ ย่อมจะถือว่าพิพากษาตรงตามความประสงค์ของโจทก์แล้วไม่ได้ และจะถือว่าเป็นการพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีอันเป็นการต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๗๘ จำคุก ๖ ปี ๘ เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๗, ๗๘ จำคุก ๒ ปี เป็นการพิพากษาแก้ทั้งบทและแก้ทั้งโทษ จึงเป็นการแก้ไขมาก โจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามที่บรรยายยืนยันไว้ในคำฟ้องไว้
จำเลยใช้มีดของกลางซึ่งเป็นมีดปลายแหลม ๒ คม เฉพาะตัวมีดยาว ๑๗ เซนติเมตรกว้าง ๒ เซนติเมตร จ้างแทงผู้เสียหายขณะที่กำลังยืนอยู่ ๑ ทีถูกที่โคนแขนซ้ายเพราะผู้เสียหายเอี้ยวหลบ ผู้เสียหายถูกแทงแล้วออกวิ่งหนี จำเลยก็ยังคงวิ่งตามไปและแทงผู้เสียหายด้านหลังบริเวณเอวอีก ๑ ที คมมีดทะลุลำไส้ใหญ่ซึ่งปรากฏจากคำของแพทย์ว่า บาดแผลอันนี้หากรักษาไม่ทันท่วงทีอาจถึงแก่ความตายได้และจะต้องใช้เวลารักษาประมาณ ๖๐ วัน จากลักษณะของมีดวิญญูชนย่อมจะรู้ดีว่าหากใช้มีดดังกล่าวแทงถูกอวัยวะสำคัญแล้วอาจถึงแก่ความตายได้ จำเลยแทงผู้เสียหายครั้งแรกถูกที่โคนแขนซ้ายเพราะผู้เสียหายเอี้ยวหลบทัน เป็นการแทงในระดับทรวงอกที่มีอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายเช่นหัวใจ เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนี้จำเลยยังวิ่งไล่ตามและแทงซ้ำอีกทีด้านหลังถูกบริเวณเอวจนคมมีดทะลุลำไส้ใหญ่ แสดงว่าเป็นการแทงโดยแรง ผู้เสียหายต้องวิ่งหนีและร้องเรียกให้คนช่วย จำเลยจึงได้หลบหนีไป ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยแทงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าอย่างแท้จริง การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๘๐
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์