คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2082/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ 3 ครั้ง ตามสัญญา 3 ฉบับ รวม 21 คัน โดยชำระเงินในวันทำสัญญาแต่ละฉบับจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือนั้นผ่อนชำระเป็นงวด ค่าเช่าซื้อที่จำเลยส่งชำระให้แก่โจทก์นั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ระบุให้ชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถคันใดโดยเฉพาะ จึงเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328 ซึ่งถ้าลูกหนี้ไม่ได้ระบุว่าชำระหนี้รายใด ก็ให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ปรากฏว่าจำเลยผิดนัดชำระเงินค่าเช่าซื้อโดยไม่ชำระตรงตามวันและเดือนที่กำหนดไว้มาแต่เริ่มแรกและในระยะหลัง ๆ ก็ผิดนัดกว่า 2 เดือน ถึง 7 เดือน ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อให้ถือว่าโจทก์มีสิทธิ์ริบเงินค่าเช่าซื้อได้ทันที และจำเลยต้องส่งรถคืนโจทก์ แต่โจทก์ก็ยอมผ่อนผันไม่ติดตามเอารถคืน ยังคงริบเงินจากจำเลยแบ่งเฉลี่ยชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อทั้ง 3 ฉบับ ยิ่งกว่านั้นเมื่อโจทก์ออกใบรับเงินให้จำเลย จำเลยก็มิได้ทักท้วงหรือโต้แย้ง จึงต้องถือว่าการแบ่งเฉลี่ยหนี้ของโจทก์ เป็นไปตามความประสงค์ของจำเลยแล้ว จำเลยจะมาระบุว่าชำระหนี้สินรายใด ให้หนี้สินรายนั้นได้เปลื้องไปอีกหาได้ไม่
จำเลยชำระหนี้ค่าเช่าซื้อไม่ตรงตามกำหนดเวลา โจทก์ก็ยอมผ่อนผันให้จำเลยชำระไม่บังคับตามสัญญาทันที ทั้ง ๆ ที่สัญญาเช่าซื้อกำหนดไว้ว่า เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด หรือผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันมีผลบังคับทันที บรรดาเงินที่ชำระแล้วให้โจทก์ริบทั้งสิ้น และจำเลยต้องส่งรถคืน แล้วจำเลยก็ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ เมื่อจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อเกิน 2 ครั้งแล้วแต่ยังคงครอบครองและใช้รถเหล่านั้นตลอดมา โจทก์จึงได้ติดตามยึดรถคืน แต่หลังจากจำเลยผิดสัญญาแล้ว โจทก์ยังยอมรับชำระเงินจากจำเลยทั้ง ๆ ที่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว โดยโจทก์ไม่ใช้สิทธิ์กลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อ จึงต้องถือว่าโจทก์ยอมรับเงินจากจำเลยเป็นค่าเสียหาย ในการที่จำเลยใช้รถที่เช่าซื้อนั่นเอง ดังนี้ โจทก์จะเรียกค่าเสียหายในระหว่างผิดนัดถึงวันที่จำเลยชำระเงินครั้งสุดท้ายซ้ำอีกไม่ได้คงเรียกค่าเสียหายได้ตั้งแต่วันชำระเงินครั้งสุดท้ายจนถึงวันที่โจทก์กลับเข้าครอบครองรถที่เช่าซื้อนั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยเช่าซื้อมิได้บัญญัติเรื่องอายุความสำหรับฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาและยังใช้ทรัพย์ที่เช่าซื้อนั้นอยู่ไว้โดยตรง ผู้ให้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิ์เรียกร้องได้ภายในอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 เพราะมิใช่ค่าเสียหายฐานละเมิด ส่วนการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและเรียกให้ผู้เช่าซื้อส่งทรัพย์คืน หากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนนั้น ก็เป็นเรื่องที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ใช้สิทธิ์ติดตามเรียกเอาทรัพย์สินคืนย่อมมีอายุความ 10 ปีเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องใจความว่า จำเลยที่ ๑ ได้เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์รวม ๓ ครั้งคือ
๑. เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๐๘ จำเลยที่ ๑ ได้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกกะบะเทท้ายจากโจทก์ไปรวม ๖ คัน จำเลยผิดนัดตั้งแต่งวดที่ ๑๕ ซึ่งจะต้องชำระในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๙ เป็นต้นไป
๒. เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๐๙ จำเลยที่ ๑ ได้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกกะบะเทท้ายจากโจทก์ ๕ คัน จำเลยผิดนัดตั้งแต่งวดที่ ๑๓ ซึ่งจะต้องชำระในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๑๐ เป็นต้นไปเกิน ๒ งวด
๓. เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๐๙ จำเลยที่ ๑ ได้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกกะบะเทท้ายจากโจทก์ไป ๑๐ คัน จำเลยผิดนัดตั้งแต่งวดที่ ๑๒ ซึ่งจะต้องชำระในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๑๐ เป็นต้นไปเกิน ๒ งวด
เนื่องจากจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อเกิน ๒ ครั้งแล้ว แต่ยังคงครอบครองและใช้รถยนต์เหล่านั้นตลอดมา โจทก์จึงได้ติดตามยึดรถคืนมาได้ทั้งหมด ยกเว้นรถคันหมายเลขเครื่อง ยู ดี ๓-๒๓๐๙๙๑ ที่โจทก์ยังติดตามไม่พบ การที่จำเลยผิดนัดและไม่ส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายที่ไม่อาจนำรถยนต์เหล่านั้นไปให้ผู้อื่นเช่า ซึ่งโจทก์ควรจะได้ค่าเช่าคันละ ๙,๐๐๐ บาท ต่อเดือน รวมจะได้ค่าเช่าสำหรับรถที่ได้คืนแล้วทั้งสิ้น ๓๔๐,๐๐๐ บาท เมื่อรวมกับค่าเสียหายรถที่ยังไม่ได้คืน ๑ คันอีกเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท คงเป็นค่าเสียหายรวมทั้งสิ้นถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๔๖๐,๐๐๐ บาท และโจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการติดตามรถคืนจากจำเลยทั้งสิ้นเป็นเงิน ๓,๒๐๐ บาท จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายและค่าติดตามเอารถคืนสำนวนแรกเป็นเงิน ๔๓๒,๒๔๐ บาท สำนวนหลังเป็นเงิน ๓๐,๙๖๐ บาท ให้จำเลยทั้งสองใช้ดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินเสร็จแก่โจทก์ เฉพาะสำนวนแรกให้จำเลยคืนรถยนต์หมายเลขเครื่อง ยู ดี ๓-๒๓๐๙๙๑ ให้แก่โจทก์ ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้เงิน ๔๐,๐๐๐ บาทแทน กับค่าเสียหายเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะคืนรถหรือใช้ราคาให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ใช้หรือใช้ไม่ครบ และไม่คืนหรือใช้ราคารถก็ให้จำเลยที่ ๒ ในแต่ละสำนวนใช้แทนตามส่วนที่ตนค้ำประกันด้วย
จำเลยที่ ๑ ทั้งสองสำนวนให้การมีใจความว่า ความจริงจำเลยที่ ๑ ซื้อรถยนต์จากโจทก์ ๒๑ คัน โดยผ่อนชำระราคาเป็นงวด ๆ หาใช่ตกลงเช่าซื้อไม่ โจทก์ให้จำเลยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์หนังสือสัญญาเช่าซื้อ โดยไม่มีเจตนาจะให้ผูกพันตามสัญญานั้น การที่โจทก์ยึดรถไปจากจำเลยที่ ๑ โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ ๑ ได้ชำระราคารถยนต์ให้โจทก์ถึง ๒,๕๕๐,๐๐๐ บาท เฉพาะสัญญาฉบับแรกชำระครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์รับชำระเป็นค่ารถยนต์ตามสัญญาฉบับที่ ๒ ที่ ๓ จึงเป็นเหตุให้สัญญาฉบับแรกค้างชำระงวดสุดท้ายเพียงงวดเดียว โจทก์และจำเลยที่ ๑ เคยทำความตกลงเกี่ยวกับเงินค่ารถยนต์ที่ค้างชำระหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายจำเลยยอมคืนรถยนต์ ๒๐ คันให้โจทก์เป็นการหักกลบลบหนี้กัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ฟ้องจำเลย สำหรับรถยนต์คันหมายเลขเครื่องยนต์ ยู ดี ๓-๒๓๐๙๙๑ ได้ชนกับรถยนต์ของผู้อื่นได้รับความเสียหายจนใช้การไม่ได้ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๑๐ ซึ่งโจทก์ทราบแล้วและไม่ยอมรับรถคืน โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์เรียกค่าเสียหายหรือค่าขาดประโยชน์จากรถยนต์คันนี้ อย่างไรก็ดี หากฟังว่าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาเช่าซื้อดังฟ้อง โจทก์ก็มีสิทธิ์เพียงแต่ริบเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระแล้วกับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อเท่านั้น หามีสิทธิ์เรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ สำหรับค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมีจำนวนสูงเกินกว่าความเป็นจริง คดีของโจทก์ขาดอายุความ
จำเลยที่ ๒ ทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธความรับผิดทำนองเดียวกันกับจำเลยที่ ๑ และต่อสู้ โจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันทราบว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาแต่อย่างใด และมิได้แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิ์ฟ้องจำเลยที่ ๒ และคดีขาดอายุความแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายตามสำนวนแรก ๔๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีคิดจากวันฟ้อง (๑๒ มกราคม ๒๕๑๖) ไปจนกว่าจะใช้เงินเสร็จให้แก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๑ คืนรถยนต์คันหมายเลขเครื่อง ยู ดี ๓-๒๓๐๙๙๑ แก่โจทก์ ถ้าไม่คืนก็ให้ใช้ราคา ๔๐,๐๐๐ บาทแทน กับให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายสำหรับรถคันนี้เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะคืนหรือใช้ราคารถเสร็จ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ใช้ก็ให้นายวิเชียรจำเลยที่ ๒ ใช้แทนจนครบ และให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายตามสำนวนหลัง ๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีคิดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะใช้เงินเสร็จแก่โจทก์ ถ้าไม่ใช้ก็ให้นายประเทืองจำเลยที่ ๒ ใช้แทนจนครบ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ สำนวนสำนวนฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งให้รับฎีกาสำนวนแรก ส่วนสำนวนหลังทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงให้รับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายเกี่ยวกับอายุความเท่านั้น
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ตามฟ้อง
วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยฎีกาว่า การชำระเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยส่งชำระให้แก่โจทก์มาจนถึงเดือนมกราคม ๒๕๑๑ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๖๐๖,๐๐๐ บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ระบุให้ชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถยนต์คันใดโดยเฉพาะ การจัดลำดับการชำระหนี้จึงต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๘ วรรค ๒
ได้พิเคราะห์บทบัญญัติมาตรานี้แล้วเห็นว่า เป็นกรณีที่ลูกหนี้ต้องผูกพันต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งโดยมีหนี้สินหลายรายด้วยกัน การชำระหนี้หลายรายนั้นเป็นการอย่างเดียวกัน และการที่ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นไม่เพียงพอจะเปลื้องหนี้สินได้หมดทุกราย ฉะนั้น เมื่อทำการชำระหนี้ ลูกหนี้จึงเป็นผู้ระบุว่าชำระหนี้สินรายใด ก็ให้หนี้สินรายนั้นเป็นอันได้เปลื้องไป แต่ถ้าลูกหนี้ไม่ได้ระบุว่าชำระหนี้รายใดก็ให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ผิดนัดชำระเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์โดยไม่ชำระเงินตรงตามวันและเดือนที่กำหนดไว้มาแต่เริ่มแรก และในระยะหลัง ๆ ก็ผิดนัดกว่า ๒ เดือน ถึง ๗ เดือน ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๘ ให้ถือว่าโจทก์มีสิทธิ์ริบเงินค่าเช่าซื้อได้ทันที และจำเลยที่ ๑ ต้องส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ แต่โจทก์ก็ยอมผ่อนผันไม่ติดตามเอารถยนต์คืน ยังคงรับเงินจากจำเลยที่ ๑ แบ่งเฉลี่ยชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อทั้ง ๓ ฉบับ ยิ่งกว่านั้นเมื่อโจทก์ออกใบเสร็จรับเงินมอบให้จำเลยที่ ๑ จำเลยก็มิได้ทักท้วงหรือโต้แย้งแต่อย่างใด ฉะนั้น จึงต้องถือว่าการแบ่งเฉลี่ยชำระหนี้ของโจทก์เป็นไปตามความประสงค์ของจำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยจะมาระบุว่าชำระหนี้สินรายใด ก็ให้หนี้สินรายนั้นเป็นอันได้เปลื้องไปอีกหาได้ไม่ ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาว่าการที่โจทก์คิดค่าเสียหายเอากับจำเลยตั้งแต่ที่โจทก์ถือว่าจำเลยผิดนัดตามสัญญาเช่าซื้อเป็นต้นมาจนถึงวันที่โจทก์ยึดรถกลับคืน จำเลยยังส่งเงินชำระให้แก่โจทก์เรื่องมา เงินที่จำเลยส่งชำระจึงไม่ใช่เงินชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาต่อไปอีก โจทก์จะถือสิทธิ์ริบเงินที่จำเลยชำระต่อจากนั้นหาได้ไม่นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ แต่การชำระเงินค่าเช่าซื้อไม่ตรงตามกำหนดเวลาตามสัญญา โจทก์ก็ยอมผ่อนผันให้จำเลยผ่อนชำระไม่บังคับตามสัญญาทันที ทั้ง ๆ สัญญาเช่าซื้อที่โจทก์และจำเลยที่ ๑ ทำต่อกันนั้นทุกฉบับซึ่งได้แก่เอกสารหมาย จ.๘, จ.๑๐ และ จ.๑๒ กำหนดไว้ว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด หรือผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันมีผลบังคับทันทีโดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้า บรรดาเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระแล้วทั้งหมดให้ริบเป็นของผู้ให้เช่าซื้อทั้งสิ้น และผู้เช่าซื้อต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนในสภาพเรียบร้อยโดยพลัน ตามข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าเมื่อจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาทั้ง ๓ ฉบับ เพราะจำเลยเองก็ยอมรับว่าได้ผิดนัดไม่สามารถชำระเงินค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์จริง เมื่อจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อเกิน ๒ ครั้งแล้ว แต่ยังคงครอบครองและใช้รถยนต์เหล่านั้นตลอดมา โจทก์จึงได้ติดตามยึดรถคืนมาได้ทั้งหมด ยกเว้นรถคันหมายเลขเครื่อง ยู ดี ๓-๒๓๐๙๙๑ ที่โจทก์ยังติดตามไม่พบ แต่หลังจากที่จำเลยที่ ๑ ผิดนัดแล้ว โจทก์ยังยอมรับชำระเงินจากจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาหมาย จ.๘, จ.๑๐ และ จ.๑๒ อีกหลายครั้ง ทั้ง ๆ ที่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วโดยโจทก์ไม่ใช้สิทธิ์กลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อ จึงต้องถือว่าโจทก์ยอมรับเงินจากจำเลยเป็นค่าเสียหายในการที่จำเลยที่ ๑ ใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อนั่นเอง ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์จะเรียกค่าเสียหายในระหว่างผิดนัดถึงวันที่จำเลยที่ ๑ ชำระเงินครั้งสุดท้ายซ้ำอีกหาได้ไม่ คงเรียกค่าเสียหายได้ตั้งแต่วันชำระเงินครั้งสุดท้ายจนถึงวันที่โจทก์กลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อ จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
จำเลยฎีกาว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ฟ้องเรียกร้องเอาค่าเสียหายหลังจากที่สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเลิกกันแล้ว อันเป็นค่าเสียหายฐานละเมิดมีอายุความเพียง ๑ ปีนั้น ได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จำเลยผู้เช่าซื้อผิดสัญญาและได้ใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อของโจทก์ตลอดเวลาที่จำเลยผิดนัดและครอบครองรถของโจทก์อยู่ กับให้จำเลยส่งมอบรถยนต์อีก ๑ คันที่ยังมิได้คืนหรือใช้ราคารถคันนั้นแก่โจทก์ด้วย เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ ว่าด้วยเช่าซื้อ มิได้บัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยตรง การฟ้องเรียกค่าเสียหายเช่นนี้โจทก์ย่อมมีสิทธิ์เรียกร้องได้ภายในอายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ เพราะเป็นการเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยยังใช้ทรัพย์ของโจทก์อยู่ มิใช่ค่าเสียหายฐานละเมิดดังที่จำเลยต่อสู้ ส่วนที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและเรียกให้จำเลยส่งคืนรถยนต์อีกคันหนึ่ง หากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนนั้น เป็นเรื่องที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ใช้สิทธิ์ติดตามเรียกเอาทรัพย์สินคืน โจทก์ย่อมมีสิทธิ์เรียกร้องได้ภายในอายุความ ๑๐ ปี เช่นกัน
พิพากษายืน.

Share