คำสั่งคำร้องที่ 1284/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ส่วนฎีกาที่เป็นปัญหาข้อกฎหมายก็มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบด้วย มาตรา 195จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ (น่าจะเป็นจำเลย) ข้อ 5 ที่ว่าโจทก์จำเลยได้มีการตกลงประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลย ยอมผ่อนชำระให้โจทก์และโจทก์รับไว้ ถือได้ว่าโจทก์จำเลยยอมความกัน ทำให้สิทธิการดำเนินคดีอาญาของโจทก์ระงับ เป็นข้อกฎหมายที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ หรือแม้แต่จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาก็ตามก็เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนที่ศาลจำต้องรับฎีกาในข้อกฎหมายดังกล่าวโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานในสำนวนว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 2 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ3 เดือน รวมจำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 117)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 122)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้ตกลงผ่อนชำระหนี้ตามเช็คให้แก่โจทก์และมีการชำระหนี้แล้วบางส่วน ปัญหาที่ว่าการตกลงกันดังกล่าวถือว่าเป็นการประนีประนอมยอมความกันทำให้สิทธิการดำเนินคดีนี้ซึ่งเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวระงับไปหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ก็ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225 จึงให้รับฎีกาข้อ 5 ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป

Share