คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2082/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจและทรัพย์สินของโจทก์ร่วมและบุคคลอื่นนั้นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานนี้โดยตรง จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย และไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ ส่วนความผิดฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหาย มีสิทธิจะอุทธรณ์ฎีกาตามลำพังได้
ปัญหาที่ว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมา จะถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา390 หรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย โดยเห็นว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นไปทีเดียว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 208(2) ประกอบด้วยมาตรา 225
จำเลยขับรถยนต์แซงรถบรรทุกหินซึ่งจอดอยู่ที่ขอบถนนด้านซ้ายในเส้นทางของรถจำเลย ล้ำเข้าไปในเส้นทางของรถโจทก์ร่วมที่กำลังสวนทางมา และตรงที่เกิดเหตุมีเส้นแบ่งแนวจราจรเป็นเส้นทึบคู่ห้ามขับรถคร่อมไปตามเส้นหรือล้ำออกนอกเส้นทางไปทางขวา เพื่อป้องกันอันตราย เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกันในเส้นทางของรถโจทก์ร่วม โดยจำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอกับวิสัยและพฤติการณ์ โดยมองไปข้างหน้าว่ามียานพาหนะอื่นใดสวนทางมาหรือไม่ หรือหากมองไม่เห็น เพราะมีส่วนโค้งของถนนหรือสะพานบังอยู่ ก็ชอบที่จะชะลอรถให้ช้าลงเมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้วจึงค่อยแซงรถที่จอดอยู่ขึ้นไป ดังนี้นับว่าเป็นความประมาทของจำเลยหาใช่อุบัติเหตุไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง ปราศจากความระมัดระวังและเร่งความเร็วแซงรถขึ้นหน้ารถยนต์บรรทุกซึ่งจอดอยู่โดยไม่มองไปข้างหน้าว่ามียานพาหนะใดจะสวนทางมาหรือไม่ เป็นเหตุให้ชนกับรถของนายระเซี่ยง ซึ่งขับสวนทางมาเสียหาย นายระเซี่ยงกับพวกได้รับบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 29(4), 66

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยมีเหตุจำเป็นที่จะต้องแซงรถบรรทุกที่จอดอยู่ข้างถนนขึ้นไปจากจุดที่แซงไม่อาจมองเห็นรถคันใดอยู่ข้างหน้าได้ จึงเป็นเรื่องอุบัติเหตุ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะอุทธรณ์ข้อ 3 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกได้ ส่วนข้อหาฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจนั้น เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าเป็นอุบัติเหตุไม่ใช่จำเลยประมาท จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง อุทธรณ์ไม่ได้ พิพากษายืน

โจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2477 นั้น โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานนี้โดยตรง จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายและไม่มีสิทธิจะอุทธรณ์ขอให้ลงโทษในความผิดฐานนี้ได้

ส่วนความผิดฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 นั้น โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายมีสิทธิจะอุทธรณ์หรือฎีกาตามลำพังได้

สำหรับปัญหาชั้นฎีกาที่ว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาจะถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 แล้วหรือไม่ นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายหาใช่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย อ้างว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงนั้นเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ไปทีเดียว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2) ประกอบด้วย มาตรา 225

ปัญหาที่ว่า จำเลยจะมีความผิดตามฟ้องหรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีนี้ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2494 มาตรา 22 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503 มาตรา 10 และฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นว่า จำเลยขับรถยนต์แซงรถบรรทุกที่จอดอยู่ขอบถนนด้านซ้าย ในเส้นทางของรถจำเลย ล้ำเข้าไปในเส้นทางของรถโจทก์ร่วมที่กำลังสวนทางมา ปรากฏว่าทางตรงนั้นทางการตีเส้นคู่ห้ามรถแซงไว้ เป็นเหตุให้ชนกับรถโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมกับพวกได้รับบาดเจ็บ แล้ววินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานจราจรวางกฎข้อบังคับให้ผู้ขับรถเดินรถไปทางด้านซ้ายของเส้นทาง โดยห้ามขับรถคร่อมไปตามเส้นทึบคู่แบ่งแนวจราจรหรือล้ำออกนอกเส้นไปทางขวา ก็เพื่อป้องกันอันตราย จำเลยชอบที่จะใช้ความระมัดระวังให้พอเพียงกับวิสัยและพฤติการณ์ โดยมองไปข้างหน้าว่ามียานพาหนะอื่นใดสวนทางมาหรือไม่ หรือหากมองไม่เห็นเพราะมีส่วนโค้งของสะพานหรือถนนบังอยู่ ก็ชอบที่จะชะลอรถให้ช้าลงเมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว จึงจะแซงรถบรรทุกที่จอดอยู่ขึ้นไปได้เมื่อจำเลยไม่ใช้ความระมัดระวัง แซงรถบรรทุกที่จอดอยู่ขึ้นไปเห็นว่า จำเลยกระทำโดยประมาท มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ให้ปรับ 1,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามมาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share