คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2074/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์จำเลยให้การแต่เพียงว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง โดยป.พี่ชายของจำเลยยกให้ จำเลยทั้งสองได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา โดยจำเลยหาได้อ้างว่าได้ที่พิพาทมาโดยการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเป็นเวลาถึงสิบปีไม่ แม้จำเลยจะให้การต่อไปว่า ที่ดินที่จำเลยเข้าทำนาทั้งหมดเป็นของจำเลย จำเลยเข้าทำนามา 20 ปีเศษแล้ว โดยโจทก์ไม่เคยคัดค้านหรือโต้แย้งเลย ก็เป็นข้อความที่ปฏิเสธฟ้องโจทก์ที่ว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปทำนาในที่พิพาทและเป็นการยืนยันคำให้การในตอนต้นว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย มิใช่เป็นการตั้งประเด็นการครอบครองปรปักษ์แต่อย่างใด เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยจึงหามีความหมายว่าจำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์รวมอยู่ด้วยไม่การที่จำเลยนำสืบและศาลวินิจฉัยว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จึงนอกประเด็นเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงต้องวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยตามความหมายที่ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๑๒จำเลยทั้งสองได้บุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ ๑๖ ไร่ อันเป็นการละเมิดและทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงินปีละ ๖,๐๐๐ บาท ขอศาลพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินและห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องอีก และร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ ๖,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดิน
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองโดย ป.พี่ชายของจำเลยยกให้ จำเลยทั้งสองได้ครอบครองและทำประโยชน์ตลอดมา ๒๐ ปีแล้ว โดยโจทก์ไม่เคยคัดค้านหรือโต้แย้งสิทธิของจำเลยมาก่อนโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง ค่าเสียหายไม่เกินปีละ ๓,๐๐๐ บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมากว่า ๑๐ ปีแล้ว จำเลยทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ในประเด็นที่ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยนั้น จำเลยให้การมีสาระสำคัญแต่เพียงว่าที่พิพาทตามฟ้องเป็นของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองได้มาโดยนายเปรื่องพี่ชายของจำเลยที่ ๒ ยกให้จำเลยที่ ๒ เมื่อ๒๓ ปีล่วงมาแล้ว แล้วจำเลยทั้งสองได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา จำเลยหาได้อ้างว่าได้ที่พิพาทมาโดยการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเป็นเวลาถึงสิบปีไม่ แม้จำเลยให้การต่อไปว่าที่ดินที่จำเลยทั้งสองเข้าทำนาทั้งหมดเป็นที่ดินของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองได้เข้าทำนามา ๒๐ ปีเศษแล้ว โดยโจทก์ทั้งสามไม่เคยคัดค้านหรือโต้แย้งสิทธิของจำเลยทั้งสองมาก่อนเลยก็ตาม แต่ก็เป็นข้อความที่ปฏิเสธฟ้องโจทก์ที่ว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปทำนาในที่พิพาทเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๒๔ และเป็นการยืนยันคำให้าการตอนต้นที่ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยเท่านั้น มิใช่เป็นการตั้งประเด็นการครอบครองปรปักษ์แต่อย่างใด การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไว้ว่า ที่พิพาทตามแผนที่กรอบสีแดงเป็นของโจทก์หรือของจำเลย จึงหามีความหมายว่าจำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์รวมอยู่ด้วยไม่การที่จำเลยทั้งสองนำสืบและศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ จึงนอกประเด็น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาจะวินิจฉัยปัญหาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยตามความหมายที่ถูกต้องต่อไป ปรากฏตามแผนที่พิพาทที่จ่าศาลทำขึ้นตามที่คู่ความนำชี้ว่า รูปที่ดินภายในเส้นสีดำที่โจทก์นำชี้มีลักษณะเหมือนกับแผนที่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๑๒ ของโจทก์ โดยที่พิพาทภายในเส้นสีแดงเนื้อที่ ๑๓ ไร่ ๑ งาน ๔๘ ตารางวา อยู่ภายในเส้นสีดำนี้ ส่วนที่ดินตาม ส.ค.๑เอกสารหมาย ล.๑ เนื้อที่ ๑๔ ไร่ ๒๕ ตารางวาของจำเลยที่ได้มาจากนายเปรื่องยกให้นั้น หากรวมที่พิพาทเข้าไปด้วยก็จะมีเนื้อที่ถึง ๒๙ ไร่เศษจึงเห็นได้ว่าที่ดินตาม ส.ค.๑ ของจำเลยคือที่ดินภายในเส้นสีม่วงเนื้อที่ ๑๖ ไร่ ๘๐ ตารางวา ที่อยู่ทางทิศเหนือของที่พิพาทหารวมที่พิพาทด้วยไม่ ศาลฎีกาจึงเชื่อว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ สำหรับประเด็นที่ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวน แล้ววินิจฉัยว่าการที่จำเลยเข้าทำนาพิพาท ทำให้โจทก์เสียหายปีละประมาณ ๑,๐๐๐ บาท
พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองกับบริวารออกไปจากที่พิพาทและห้ามเข้าเกี่ยวข้องอีก ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามเป็นเงินปีละ ๑,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่พิพาท.

Share