แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายถือปืนวิ่งไล่ติดตามจำเลยมาในลักษณะอาการซึ่งจำเลยเข้าใจว่าเป็นคนร้าย จนได้ร้องบอกกล่าวว่าคนร้ายไล่ยิงตนเช่นนี้ ย่อมทำให้จำเลยคิดเห็นไปว่าผู้ตายมีเจตนาจะฆ่าจำเลยมาแต่แรกแล้ว เมื่อจำเลยหนีหลบไปแล้วกลับมาเจอผู้ตายเข้าอีกในสถานที่คับขัน ห่างกันเพียงประมาณ 7 วา ขณะนั้นผู้ตายมีปืนติดตัวอยู่ถึง 2 กระบอกถ้าจะวิ่งหนีก็อาจจะถูกผู้ตายยิงตายในเวลาฉุกละหุกกระทันหันเช่นนี้ จำเลยได้ตัดสินใจยิงไปก่อนที่ปืนของผู้ตายจะลั่นมาถูกจำเลยจะตำหนิว่าไม่ถูกต้อง ถ้าผู้ใดตกอยู่ในสถานการณ์คับขันอย่างจำเลยและคิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายจะยิงจำเลยทันทีทันใดโดยจำเลยไม่มีทางหลบหนีดังคดีนี้แล้ว การที่จำเลยตัดสินใจยิงผู้ตายเสียก่อนเป็นการกระทำเพื่อป้องกันชีวิตของจำเลยพอสมควรแก่เหตุเพื่อให้พ้นภยันตรายซึ่งกำลังเผชิญหน้าจำเลยอยู่ในขณะนั้นจะมัวรอให้ผู้ตายยกปืนจ้องจะยิงจำเลยเสียก่อนแล้วจึงยิงโต้ตอบอาจไม่ทันได้ป้องกันชีวิตของตนได้.
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาและมีอาวุธปืนไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายอาญา ม.๒๔๙ พ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ ม.๗,+๒ และริบปลอดกระสุนปืนของกลางที่จำเลยใช้ยิง
จำเลยให้การต่อสู้ภาคเสธว่ายิงผู้ตายโดยเข้าใจผิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายมากระทำการโจรกรรมไม่ทราบว่าเป็นตำรวจเพื่อป้องกันตัวและทรัพย์พอสมควรแก่เหตุ ในข้อหาว่ามีอาวุธปืนไม่ได้รับอนุญาต รับตามข้อหา
ศาลชั้นต้นฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุโดยมีความจำเป็นเพื่อป้องกันภยันตรายอันจะเกิดแก่ชีวิตของตนควรได้รับยกเว้นโทษตาม ก.ม.อาญา ม.๕๐ พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา คงลงโทษตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ ม.๗,+๒ ปรับ ๒๐๐ บาท ลดรับสารภาพกึ่งหนึ่งตาม ม.๕๙ คงปรับ ๑๐๐ บาท ถ้าไม่เสียจัดการตาม ม.๑๘ ปลอกกระสุนปืนของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ศาลอุทธรณ์ฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุพิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตาม ก.ม.อาญา ม.๒๔๙ ประกอบด้วย ม.๕๓ จำคุกจำเลย ๓ ปี เกิดเหตุแล้วจำเลยรีบแจ้งแก่กำนันผู้ใหญ่บ้านและให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดให้กึ่งหนึ่งตาม ม.๕๙ คงจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้ฟังทนายจำเลยแถลงการณ์ด้วยวาจาและตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังต้องกันมาว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงพลตำรวจสำเภาถึงแก่ความตายเพื่อป้องกันตัว ความข้อนี้เป็นอันยุติไม่มีปัญหามาสู่ศาลฎีกา ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยคงมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุหรือไม่
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่ผู้ตายถือปืนวิ่งไล่ติดตามจำเลยมาในลักษณะอาการซึ่งจำเลยเข้าใจว่าเป็นคนร้าย จนได้ร้องบอกกล่าวว่าคนร้ายไล่ยิงตนเช่นนี้ ย่อมทำให้จำเลยคิดเห็นไปว่าผู้ตายมีเจตนาจะฆ่าจำเลยมาแต่แรกแล้วเมื่อหลบหนีไปแล้วกลับมาเจอผู้ตายเข้าอีกในสถานที่คับขันห่างกันเพียงประมาณ ๗ วา ขณะนั้นผู้ตายก็มีปืนติดตัวอยู่ถึง ๒ กระบอก ถ้าจะวิ่งหนีก็อาจจะถูกผู้ตายยิงตายในเวลาฉุกละหุกกระทันหันเช่นนี้ จำเลยได้ตัดสินใจยิงไปก่อนที่ปืนของผู้ตายจะลั่นมาถูกจำเลย จะตำหนิว่าจำเลยตัดสินใจยิงผู้ตายไปก่อนน่าจะไม่ถูกต้อง ถ้าผู้ใดตกอยู่ในสถานการณ์คับขันอย่างจำเลย และคิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายจะยิงจำเลยทันทีทันใด โดยจำเลยไม่มีทางหลบหนีดังเหตุการณ์ที่ปรากฎในคดีนี้สมควรจะทำอย่างไร ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยได้ตัดสินใจยิงผู้ตายเสียก่อนนั้นเป็นการกระทำเพื่อป้องกันชีวิตของจำเลยพอสมควรแก่เหตุ เพื่อให้พ้นภยันตรายซึ่งกำลังเผชิญหน้าจำเลยอยู่ในขณะนั้น จะมัวรอให้ผู้ตายยกปืนขึ้นจ้องจะยิงจำเลยเสียก่อนแล้วจึงยิงตอบโต้อาจไม่ทันได้ป้องกันชีวิตของตนก็ได้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาเสียนั้นชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.