คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 109/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าของร้านอนุญาตให้ผู้ที่มาเล่นไพ่กินน้ำส้มได้เปล่าจำเลยเข้าไปดูการเล่น เอาน้ำส้มกินในที่นั้น โดยเข้าใจว่ากินได้เช่นเดียวกับผู้เล่น ไม่มีเจตนาลักทรัพย์เมื่อมีผู้ขัดขวางจึงเกิดทำร้ายกัน เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2495 เวลากลางคืนจำเลยสมคบกันทำการชิงทรัพย์น้ำส้ม 3 ขวด ราคา 7 บาท 50 สตางค์ ของนายซ่งกัง แซ่แต้ไป ในการชิงทรัพย์ จำเลยได้ใช้มือชกต่อยและเท้าเตะทำร้ายร่างกาย นายกิมจุ้ย แซ่เอง และนายคี้ชุน แซ่โง้ว ลูกจ้างของนายซ่งกัง ไม่ถึงบาดเจ็บ เหตุเกิดที่ตำบลชนะสงครามอำเภอพระนคร ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 298, 299, 63, 338(3) และให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามมาตรา 72 กับให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ข้อเคยต้องโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 รับว่าจริงตามใบแดงแจ้งโทษ

ทางพิจารณาโจทก์สืบพยานว่า ร้านนายซ่งกังอยู่บางลำภูขายกาแฟและข้าวแกง ข้างหลังร้านมีฝากั้นเป็นที่เล่นไพ่เก็บค่าต๋งเป็นประจำมีเครื่องดื่มน้ำส้มกาแฟเลี้ยงผู้ที่มาเล่นไพ่โดยไม่ต้องเสียเงิน ปรากฏตามคำนายซ่งกังเจ้าของร้านว่า จำเลยทั้งสามได้เข้าไปที่วงไพ่ทุกวันแต่จะได้เล่นไพ่หรือไม่ ไม่ได้ดู วันเกิดเหตุเวลาราว 4 ทุ่ม มีนายกิมจุ้ย นายคี้ชุน ลูกจ้างประจำร้านและนางสมจิตผู้เล่นไพ่คนหนึ่งกล่าวว่าจำเลยทั้งสามได้เข้าไปนั่งดูเขาเล่นไพ่กันสักประเดี๋ยวหนึ่งนายเวกจำเลยก็สั่งน้ำส้มจากนายกิมจุ้ยซึ่ง กำลังทำไพ่อยู่ นายกิมจุ้ยว่าไม่ว่างนายเวก จำเลยที่ 1 ก็ไปหยิบน้ำส้มจากตู้เย็นซึ่งอยู่ข้างวงไพ่ 3 ขวดเอามาแจกให้จำเลยอีกสองคน คนละขวด ดื่มกินกัน นายกิมจุ้ยเข้าไปห้าม นายเวก จำเลยได้เอามือต่อยเอาตามตัว 3-4 ที นายฟ้อน นายพุก จำเลยซึ่งอยู่ข้างหลังก็ต่อยเอาทางข้างหลังอีก นายคี้ชุนออกมาห้าม ได้ถูกจำเลยทั้งสามชกต่อยเอาอีก นายซ่งกังเจ้าของร้าน ซึ่งอยู่ชั้นบนลงมาว่ากล่าว จำเลยทั้งสามก็ถือขวดน้ำส้มออกไปจากร้าน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ที่ว่าจำเลยเอาน้ำส้มไป 3 ขวดนั้น ไม่น่าเชื่อ เพราะพยานโจทก์แตกต่างกัน บางคนว่าเวลาต่อยจำเลยถือน้ำส้มอยู่ในมือ บางคนว่าน้ำส้มเปิดกินไปบ้างแล้วทั้ง 3 ขวดเวลาต่อยจำเลยทั้งสามวางขวดน้ำส้ม เมื่อจะวิ่งจึงหยิบขวดน้ำส้มไปถ้าเป็นความจริง จำเลยจะเอาไปเพื่ออะไร ถ้าเจตนาจะชิงทรัพย์แล้วก็ไม่น่ากระทำต่อคนเล่นไพ่ น่าเชื่อว่านายเวกจำเลยได้ไปเล่นไพ่ได้สองเที่ยวก็ขอน้ำส้มดื่ม นายกิมจุ้ยพวกเจ้าทรัพย์ไม่พอใจจึงด่าว่าแล้วเกิดทำร้ายกันขึ้น น้ำส้มก็ไม่ได้มาเป็นของกลาง ยังฟังว่าจำเลยทำการชิงทรัพย์น้ำส้ม 3 ขวด ไม่ได้คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยชกต่อยทำร้ายพวกเจ้าทรัพย์เท่านั้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 338(9) ฐานทำร้ายร่างกายไม่ถึงบาดเจ็บให้ปรับจำเลยคนละ 50 บาทข้อหาฐานชิงทรัพย์ให้ยกฟ้อง จำเลยทั้งสามต้องขังพอกับพอค่าปรับแล้วให้ปล่อยตัวไป

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีเฉพาะนายพุก จำเลยที่ 3 ส่งสำเนาฟ้องอุทธรณ์ให้ไม่ได้ จึงให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 คงพิจารณาเฉพาะนายเวก จำเลยที่ 1 และนายฟ้อน จำเลยที่ 2 ว่าพยานโจทก์หลายปากยืนยันว่า นายเวก จำเลยที่ 1หยิบน้ำส้มออกมาจากตู้เย็น และเอาน้ำส้มให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ดื่มกิน เป็นเหตุให้นายกิมจุ้ยมาห้ามหรือต่อว่า แล้วจึงเกิดทำร้ายกันขึ้น ที่จำเลยนำสืบว่า ได้เล่นไพ่ด้วยก็ไม่น่าเชื่อ เพราะนายเวก จำเลยที่ 1 ให้การชั้นสอบสวนว่า เพียงแต่มาดูเขาเล่น พยานโจทก์ก็ว่าไม่ได้เล่น ฉะนั้น ตามที่พยานโจทก์ว่าน้ำส้มสำหรับเลี้ยงพวกเล่นไพ่โดยไม่คิดราคา จึงไม่เป็นข้อแก้ตัวของจำเลยได้ การที่นายเวก จำเลยที่ 1 หยิบเอาน้ำส้มมากินโดยพลการ และแจกให้แก่จำเลยอีกสองคนกินด้วยนั้น เป็นการกระทำโดยเจตนาทุจริต เพราะการที่นายเวก จำเลยขอน้ำส้มกับนายกิมจุ้ย นายกิมจุ้ยบอกว่าไม่ว่าง ให้ไปขอแก่เจ้าทรัพย์ นายเวกไม่ไปขอกับเจ้าทรัพย์กลับบังอาจไปหยิบเอาโดยพลการโดยมิได้รับอนุญาต ส่วนนายฟ้อนจำเลยที่ 2 ปรากฏว่าได้มากับนายเวก จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 พูดขอน้ำส้มกับนายกิมจุ้ยก็ได้ยิน จำเลยที่ 2 เดินตามจำเลยที่ 1 ไปที่ตู้เย็นเมื่อนายกิมจุ้ยมาห้ามจำเลยที่ 2 ได้ช่วยจำเลยที่ 1 ทำร้ายนายกิมจุ้ยนายคี้ชุนพวกเจ้าทรัพย์เข้ามา จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยังทำร้ายนายคี้ชุนอีกจึงได้ความว่าจำเลยทั้งสามได้พาขวดน้ำส้มออกไปพร้อมกันด้วยจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงควรมีความผิดฐานชิงทรัพย์ พิพากษาแก้ว่านายเวกจำเลยที่ 1 นายฟ้อน จำเลยที่ 2 มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 299 ให้จำคุกคนละ 3 ปี เพิ่มโทษนายฟ้อน จำเลยที่ 2 ตามมาตรา 72 รวมเป็น 4 ปี และให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ส่วนโทษปรับให้ยกเสีย เพราะได้วางโทษฐานชิงทรัพย์อันเป็นบทหนักแล้ว

นายเวก จำเลยที่ 1 ฎีกา ส่วนนายฟ้อน จำเลยที่ 2 ปรากฏว่ายังไม่ได้ตัวมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ศาลฎีกาได้ประชุมพิจารณาแล้ว จะพิจารณาเฉพาะนายเวก จำเลยที่ 1 ซึ่งฎีกาขึ้นมาเท่านั้น ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า เจ้าของน้ำส้มอนุญาตให้ผู้ที่มาเล่นไพ่ในร้านดื่มกินน้ำส้มได้โดยไม่ต้องชำระราคายังปรากฏตามคำเจ้าของน้ำส้มอีกว่า จำเลยทั้งสามได้ไปที่วงเล่นไพ่ทุกวันหากแต่ไม่ยืนยันว่าจะได้เล่นไพ่ด้วยหรือไม่เพราะอ้างว่าไม่ได้ดู ในวันเกิดเหตุก็ปรากฏว่า จำเลยได้เข้าไปที่วงเล่นไพ่ ฝ่ายนายเวก จำเลยที่ 1 ว่า ได้เล่นไพ่ด้วยฝ่ายพยานโจทก์ว่าไม่ได้เล่น จะได้เล่นหรือไม่ได้เล่น ข้อนี้เห็นว่าไม่เป็นปัญหาสำคัญนัก เพราะแต่ก่อน ๆ ปรากฏว่า จำเลยเคยไปยังสถานที่เล่นไพ่ตามที่ปรากฏตามคำเจ้าของน้ำส้มดังกล่าวมาแล้วในวันก่อน ๆ จำเลยอาจจะได้เล่นไพ่ด้วยก็ได้ หรือหากจะว่าไม่ได้เล่น การที่จำเลยได้เข้าไปอยู่ในสถานที่เล่นไพ่ที่ปรากฏมาเช่นนั้น จำเลยอาจเข้าใจว่าดื่มกินน้ำส้มได้เช่นเดียวกับผู้เล่น การดื่มกินน้ำส้มในฐานะเช่นนั้นตามปกติก็มิใช่เป็นกิริยาลักทรัพย์ ยังปรากฏตามคำพยานโจทก์เองว่า นายเวก จำเลยที่ 1 ได้สั่ง (หรือขอ) น้ำส้มจากนายกิมจุ้ยผู้ซึ่งกำลังทำไพ่อยู่ นายกิมจุ้ยไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นแต่ตอบว่าไม่ว่างแม้จะฟังต่อไปว่า ได้พูดต่อไปว่าให้ไปขอต่อเถ้าแก่ด้วยความก็ปรากฏว่า ขณะนั้นนายซ่งกังเจ้าของร้านหรือเถ้าแก่อยู่บนห้องชั้นบน นายเวก จำเลยก็ไปหยิบเอาน้ำส้มในตู้เย็นซึ่งอยู่ข้าง ๆ ที่เล่นไพ่นั้นเอง เอามาแบ่งให้จำเลยอีกสองคนดื่มกินต่อหน้าต่อตา ผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้น ต่อเมื่อนายกิมจุ้ยขัดขวางจึงได้เกิดชกต่อยกันขึ้น อาการกิริยาต่าง ๆ ดั่งที่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวมา จะว่า นายเวก จำเลยมีเจตนาลักดื่มกินน้ำส้มยังไม่ได้ส่วนที่พยานโจทก์กล่าวต่อไปว่า เมื่อจำเลยดื่มกินน้ำส้มแล้วได้ถือเอาขวดน้ำส้มไปด้วยนั้น ข้อนี้คำพยานโจทก์แตกต่างขัดกันบางคนว่าจำเลยเอาขวดน้ำส้มวางไว้ก่อน บางคนว่าไม่ได้วางถือเอาขวดน้ำส้มไปเลย ข้อเท็จจริงข้อนี้ไม่เชื่อว่า จำเลยดื่มกินแล้วยังจะเอาขวดน้ำส้มไปอีกด้วย ศาลนี้เห็นด้วยศาลชั้นต้นที่พิพากษาว่า นายเวก จำเลย มีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายไม่ถึงบาดเจ็บ จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยไม่ลงโทษนายเวก จำเลยที่ 1 ฐานชิงทรัพย์ คงยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share