แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ป.วิ.พ. มาตรา 296 ทวิ กำหนดให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว หากลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำบังคับในกรณีที่ถูกพิพากษาให้ขับไล่ หรือต้องออกไปหรือต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าหากจำเลยไม่รื้อถอนต้นไม้ที่นำเข้าไปปลูก ให้โจทก์ดำเนินการแทน จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เลขที่ 9/2498 หมู่ที่ 4 ตำบลพุทเลา อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ 2 งาน 94 ตารางวา เป็นของโจทก์ ให้จำเลยปรับสภาพที่ดินของโจทก์ให้อยู่ในสภาพเดิม พร้อมถอนต้นไม้ที่นำเข้าไปปลูกและห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป หากไม่ดำเนินการให้โจทก์มีอำนาจกระทำการแทนได้โดยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2544 ที่ออกโฉนดให้แก่จำเลย
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เลขที่ 9/2498 หมู่ที่ 4 ตำบลพุทเลา อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ 2 งาน 94 ตารางวา เป็นของโจทก์ และเป็นผู้มีสิทธิครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ให้จำเลยปรับสภาพที่ดินของโจทก์ให้อยู่ในสภาพเดิมพร้อมรื้อถอนต้นไม้ที่นำเข้าไปปลูกและห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทของโจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการให้โจทก์กระทำการแทนได้ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,500 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 2,500 บาท
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เดิมนางจำรัส มารดาจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เลขที่ 9/2498 หมู่ที่ 4 ตำบลพุทเลา อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามสำเนาแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เมื่อปี 2503 นางจำรัสถึงแก่ความตาย ต่อมาวันที่ 29 มิถุนายน 2543 จำเลยยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าจำเลยได้รับมรดกจากนางจำรัสและครอบครองต่อเนื่องมาจากนางจำรัส ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2543 จำเลยนำเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินพิพาทเพื่อออกโฉนดที่ดิน แต่โจทก์คัดค้านการรังวัดโดยอ้างว่านางจำรัสขายที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้วตั้งแต่ปี 2499 โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา มีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ ในข้อนี้โจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนางจำรัสตั้งแต่ปี 2499 ในราคา 600 บาท นางจำรัสส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทพร้อมกับมอบแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) ให้โจทก์ยึดถือไว้ จากนั้นโจทก์ให้นายสมบุญ เช่าที่ดินพิพาททำนาจนถึงปี 2529 โจทก์จึงให้นายสมบัติบุตรของนายสมบุญเช่าทำนาต่อจนถึงปี 2543 ต่อมาวันที่ 29 มิถุนายน 2543 จำเลยยื่นคำขอออกโฉนดสำหรับที่ดินพิพาท โจทก์ไปคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โดยโจทก์มีนายสมบัติผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 ซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่และเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์เบิกความสนับสนุนข้อเท็จจริงที่ได้ความจากโจทก์ นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายสมบุญ ซึ่งปลูกบ้านอยู่บนที่ดินของนางสุนันท์ ติดกับที่ดินพิพาท กับนายดิเรก ซึ่งเป็นประธานองค์การบริหารส่วนตำบลพุทเลา และเคยเป็นกำนันตำบลพุทเลา และนางสมบุญ ซึ่งเคยมีที่ดินอยู่ใกล้ที่ดินพิพาทและเดินผ่านที่ดินพิพาทมาตลอดเป็นพยานต่างเบิกความยืนยันว่า พยานทั้งสามรู้จักที่ดินพิพาทและทราบว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากนางจำรัส จากนั้นโจทก์ให้นายสมบัติเช่าทำนาและเคยเห็นนายสมบัติทำนาในที่ดินพิพาทก่อนพิพาทกับพยานทั้งสามไม่เคยเห็นจำเลยและนางบัวคลี่ เข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินพิพาทแต่อย่างใด อันเป็นการสอดคล้องต้องกันกับคำเบิกความของโจทก์และนายสมบัติ โดยเฉพาะพยานโจทก์เหล่านี้เป็นบุคคลในท้องถิ่นที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ย่อมรู้เห็นความเป็นมาของที่ดินพิพาทได้เป็นอย่างดีทั้งมิได้มีส่วนได้เสียหรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ถือได้ว่าเป็นพยานคนกลางคำเบิกความจึงมีน้ำหนักให้รับฟังเชื่อว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความไปตามความเป็นจริงแม้พยานโจทก์จะเบิกความแตกต่างกันไปบ้างก็เป็นเพียงพลความมิใช่ข้อสาระสำคัญไม่ทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์เสียน้ำหนัก ที่จำเลยนำสืบว่าหลังจากนางจำรัสมารดาจำเลยถึงแก่ความตายเมื่อปี 2503 จำเลยและนางบัวคลี่น้องสาวเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบันนั้น ก็ปรากฏว่าจำเลยย้ายออกจากบ้านเลขที่ 7 หมู่ที่ 4 ตำบลพุทเลา อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นบ้านบิดามารดาไปทำงานรับจ้างอยู่ที่บางซื่อและจังหวัดปทุมธานี ตั้งแต่ปี 2516 ปัจจุบันจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบันตามที่จำเลยเบิกความ อีกทั้งจำเลยก็มิได้นำนางบัวคลี่ซึ่งอ้างว่าเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทไปให้การแก่เจ้าพนักงานที่ดินและนำมาเบิกความเป็นพยานต่อศาลแต่อย่างใด ทั้งนางประทิน พยานจำเลยซึ่งเบิกความว่า หลังจากนางจำรัสถึงแก่ความตายจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ต่อมาเป็นเวลากว่า 40 ปี นั้น ก็ปรากฏว่านางประทินย้ายไปอยู่จังหวัดสมุทรปราการ มากกว่า 20 ปี แล้ว จึงไม่น่าเชื่อว่านางประทินจะรู้เห็นว่าจำเลยและนางบัวคลี่ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา ประกอบกับข้อเท็จจริงยังได้ความจากบันทึกการยินยอมให้จำเลยนำที่ดินพิพาทไปยื่นคำขอออกโฉนดว่า จำเลยมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันถึง 8 คน แต่จำเลยก็หาได้นำบุคคลเหล่านั้นมาเบิกความเป็นพยานจำเลยแต่อย่างใดไม่ ยิ่งกว่านั้นจำเลยมิได้ให้การและนำสืบปฏิเสธว่านางจำรัส มารดาจำเลยมิได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ว่านางจำรัสขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์จริง ถึงแม้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับนายสมบัติจะเป็นพิรุธว่าทำขึ้นในภายหลังหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่านายสมบุญและนายสมบัติครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์จริง จึงต้องถือว่านายสมบุญและนายสมบัติครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ โจทก์ย่อมเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์จริง จึงต้องถือว่านายสมบุญและนายสมบัติครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ โจทก์ย่อมเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่านางจำรัสมารดาจำเลยขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นแต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าหากจำเลยไม่รื้อถอนต้นไม้ที่นำเข้าไปปลูกให้โจทก์ดำเนินการแทนได้นั้น ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติมาตรา 296 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ชอบที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติไปตามบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247”
พิพากษากลับว่า ที่ดินพิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เลขที่ 9/2498 หมู่ที่ 4 ตำบลพุทเลา อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ประมาณ 2 งาน 94 ตารางวา เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท และให้จำเลยปรับสภาพที่ดินพิพาทให้อยู่ในสภาพเดิม พร้อมรื้อถอนต้นไม้ที่นำเข้าไปปลูกออกไปจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 5,000 บาท ส่วนคำขออื่นให้ยก