แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญาเรื่องเดียวกันเดิมจำเลยถูกฟ้องด้วยวาจาตามบทบัญญัติของวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงโดยศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง เพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยด้วยวาจา ซึ่งศาลยังมิได้พิจารณาเรื่องที่ได้ฟ้องแต่ประการใด จึงถือไม่ได้ว่าศาลได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่โจทก์ฟ้อง โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยใหม่ได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
คดีอาญาที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นผู้มีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาบันทึกว่า “มีเหตุอันควรรับรองให้ฎีกาได้” นั้นเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าบังอาจร่วมกันยึดถือครอบครองที่ดิน ก่นสร้างแผ้วถางเผาป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาตินายางกลัก โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑, ๓๕ กฎกระทรวงฉบับที่ ๗๒๙ (พ.ศ.๒๕๑๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ และริบของกลาง กับให้จำเลยและบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ
จำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑, ๓๕ กฎกระทรวงฉบับที่ ๗๒๙ (พ.ศ.๒๕๑๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ ลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยที่ ๓ และลดรับสารภาพให้จำเลยทั้งหมดคนละกึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ ๓ มีกำหนด ๓ เดือน ปรับ ๑,๒๕๐ บาท จำเลยที่ ๑, ๒, ๔, ๕ จำคุกคนละ ๖ เดือน ปรับคนละ ๒,๕๐๐ บาท โทษจำคุกจำเลยทั้งหมดให้รอการลงโทษไว้คนละ ๒ ปี ฯลฯ
โจทก์อุทธรณ์ว่าควรลงโทษจำคุกจำเลยทั้งห้าโดยไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับโทษจำคุกสำหรับจำเลยที่ ๑, ๒, ๔, ๕ ไปโดยไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑, ๒, ๔, ๕ ฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาคดีบันทึกไว้ว่า “มีเหตุอันควรรับรองให้ฎีกาได้”
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยถูกฟ้องคดีเรื่องนี้ด้วยวาจาตามบทบัญญัติของวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงโดยศาลมีคำพิพากษายกฟ้องแล้วก็ปรากฏว่าคดีที่จำเลยอ้างมา ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยด้วยวาจา ซึ่งศาลยังมิได้พิจารณาเรื่องที่ได้ฟ้องแต่ประการใดเลยจึงถือไม่ได้ว่าศาลได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยใหม่ได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๔) ดังที่จำเลยฎีกา ส่วนฎีกาที่จำเลยที่ ๑, ๒, ๔, ๕ ขอให้ศาลฎีกาใช้ดุลพินิจรอการลงโทษเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยจะฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๑ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าว ถ้าผู้พิพากษาศาลชั้นต้นประสงค์จะอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องบันทึกความเห็นให้ได้ความว่า ข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งต้องบันทึกยืนยันว่าอนุญาตให้ฎีกา การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นผู้มีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาบันทึกว่ามีเหตุอันควรรับรองให้ฎีกาได้ขาดข้อความไปทั้งสอง
ประการดังกล่าว ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยฎีกาข้อเท็จจริงของจำเลยให้ไม่ได้
พิพากษายืน