คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2058/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ขณะทำสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อก็ตามแต่จำเลยได้ตกลงให้โจทก์ซื้อทรัพย์นั้นมาให้จำเลยเช่าซื้อ เห็นได้ว่าการทำสัญญาเช่าซื้อนี้เป็นการทำไว้ล่วงหน้า โดยเจตนาให้มีผลบังคับกันในเมื่อเจ้าของทรัพย์ได้ขายทรัพย์ที่จะเช่าซื้อให้โจทก์แล้ว ทั้งเมื่อทำสัญญาแล้วโจทก์ก็ได้เป็นเจ้าของทรัพย์ดังกล่าว และจำเลยก็ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่บริษัทโจทก์อีกถึง 3 งวด ตามสัญญาเช่าซื้อ ดังนี้จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อจำเลยจะกลับมาอ้างว่าขณะทำสัญญาโจทก์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่เช่าซื้อ จึงไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่
โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อน และได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ครั้นถึงวันนัดสืบพยานก่อนศาลเริ่มสืบพยานโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม โดยขออ้างเอกสารเป็นพยาน ซึ่งมีสิทธิยื่นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสอง แม้โจทก์มิได้ส่งสำเนาเอกสารที่ระบุเพิ่มเติมให้จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วันตามมาตรา 90 ศาลชั้นต้นก็อาจใช้ดุลยพินิจรับฟังเอกสารดังกล่าว โดยเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี อันเป็นอำนาจตามบทบัญญัติของมาตรา 87 (2) ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อเครื่องปรับอากาศไปจากโจทก์ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า และไม่คืนเครื่องปรับอากาศให้โจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช่ค่าเสียหาย และคืนเครื่องปรับอากาศหรือใช้ราคา
จำเลยให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ จำเลยไปติดต่อซื้อเครื่องปรับอากาศกับบริษัทนครช่างกล ซึ่งได้แนะนำให้จำเลยซื้อโดยผ่อนชำระราคากับ บริษัทการเงิน จำเลยตกลง ต่อมาปรากฏว่าเครื่องปรับอากาศคุณภาพบกพร่อง จำเลยต้องการคืนเครื่องปรับอากาศ จึงได้ทราบว่าโจทก์นำสัญญาเช่าซื้อไปกรอกข้อความโดยจำเลยไม่รู้เห็นเป็นการปลอมเอกสาร
ศาลชั้นต้นจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งคืนเครื่องปรับอากาศ หรือใช้ราคา ๒๒,๐๐๐ บาท กับให้ใช้ค่าใช้ทรัพย์คืนแก่โจทก์ ๕,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยและอีกเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท จนกว่าจะส่งคืนเครื่องปรับอากาศ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาข้อ ๒ (ก) ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะการทำสัญญาเช่าซื้อเครื่องปรับอากาศเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๑๗ ขณะนั้นบริษัทโจทก์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องปรับอากาศรายพิพาท บริษัทโจทก์เพิ่งเป็นเจ้าของเครื่องปรับอากาศดังกล่าว โดยซื้อมาจากบริษัทนครช่างกล จำกัด เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๗ บริษัทโจทก์จึงไม่มีสิทธิจะนำเครื่องปรับอากาศรายพิพาทที่บริษัทโจทก์เองไม่ได้เป็นเจ้าของมาให้จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อนั้น ได้ความตามคำพยานโจทก์ว่าบริษัทโจทก์ซื้อเครื่องปรับอากาศรายพิพาทจากบริษัทนครช่างกล จำกัด เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๗ หลังจากวันที่บริษัทโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อเครื่องปรับอากาศกับบริษัทโจทก์ แต่โจทก์นำสืบได้ว่าเดิมจำเลยที่ ๑ ไปติดต่อขอซื้อเครื่องปรับอากาศจากบริษัทนครช่างกล จำกัด แต่มีเงินสดไม่พอ บริษัทนครช่างกล จำกัด จึงแจ้งมายังบริษัทโจทก์ซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนให้ซื้อเครื่องปรับอากาศแล้วนำไปให้จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อต่อ บริษัทโจทก์และจำเลยที่ ๑ ตกลงด้วยตามนี้ วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๑๗ จำเลยที่ ๑ จึงได้ยื่นคำขอเช่าซื้อเครื่องปรับอากาศจากบริษัทโจทก์ และในวันเดียวกันนี้จำเลยที่ ๒ ยื่นคำขอเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ต่อบริษัทโจทก์ด้วย ดังปรากฎตามเอกสารหมาย จ.๒ ต่อมาวันที่ ๕ เดือนเดียวกัน เมื่อบริษัทโจทก์ตรวจอนุมัติคำขอดังกล่าวแล้ว จึงได้จัดทำสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.๓,จ.๔ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ขณะทำสัญญาเช่าซื้อ บริษัทโจทก์จะมิได้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อก็ตาม แต่เป็นที่เห็นได้ว่าการทำสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันนั้น เป็นการทำไว้ล่วงหน้าโดยเจตนาให้มีผลบังคับกันได้ในเมื่อบริษัทนครช่างกล จำกัด ได้ขายเครื่องปรับอากาศที่จำเลยที่ ๑ จะเช่าซื้อให้แก่บริษัทโจทก์แล้ว ทั้งเมื่อทำสัญญาแล้วบริษัทโจทก์ก็ได้เป็นเจ้าของทรัพย์ดังกล่าว และจำเลยที่ ๑ ก็ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่บริษัท โจทก์อีกถึง ๓ งวด ๆ ละ ๑,๓๓๖ บาท ตามสัญญาเช่าซื้อ ดังนี้จำเลยทั้งสองต้องผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันนั้น จำเลยจะกลับมาอ้างว่าขณะทำสัญญา โจทก์มิใช่เจ้าของทรัพย์ที่เช่าซื้อ จึงไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
ข้อต่อไปที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์อ้างเอกสารคำขอเช่าซื้อ และคำขอค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.๒ เป็นพยาน โดยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยาน ๓ วัน และไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารนั้นให้แก่จำเลยก่อนวันสืบพยาน ไม่น้อยกว่า ๓ วันเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๘,๙๐ จึงไม่ควรรับพยานเอกสารของโจทก์ดังกล่าวเข้าสู่สำนวนความนั้น คดีได้ความว่าโจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อน และได้ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกแล้วก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า ๓ วัน ครั้นถึงวันนัดสืบพยานในวันเดียวกันนี้ก่อนศาลเริ่มต้นทำการสืบพยาน โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม โดยขออ้างเอกสารหมาย จ.๒ เป็นพยาน การที่โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมดังกล่าว โจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นได้ตามบทบัญญัติมาตรา ๘๘ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฉะนั้น บัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์จึงเป็นบัญชีระบุพยานที่ยื่นต่อศาลไว้โดยชอบแล้ว ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาของเอกสารหมาย จ.๒ ให้แก่จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า ๓ วันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๐ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจรับฟังพยานเอกสารหมาย จ.๒ เพราะเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีอันเป็นอำนาจตามบทบัญญัติของมาตรา ๘๗ (๒) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share