คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2045/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยตกลงซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยมิได้มุ่งหมายจะทำหลักฐานกันเป็นหนังสือ เมื่อจำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์ตั้งแต่ที่ได้ตกลงทำสัญญากันสัญญาจะซื้อขายจึงสมบูรณ์ในแบบที่ได้มีการชำระหนี้บางส่วนแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้โดยไม่จำต้องมีพยานเอกสารมาแสดง เรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม จึงเป็นเพียงพฤติการณ์ที่คู่กรณีแสดงเจตนาจะทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเท่านั้น ไม่ใช่หลักฐานแห่งสัญญาจะซื้อขาย จำเลยจึงนำสืบถึงราคาที่แท้จริงได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกนายคะแนนโจทก์สำนวนแรกว่าโจทก์ เรียกนางสาวสุพรโจทก์สำนวนหลังว่าจำเลย
โจทก์สำนวนแรกฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 5 โจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวในราคา 100,000 บาท โดยโจทก์จะชำระราคาที่ดินให้แก่จำเลยในวันที่ไปจดทะเบียนซื้อขายกัน ต่อมาโจทก์ติดต่อจำเลยให้ไปจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพร้อมกับรับเงินค่าที่ดินจำเลยปฏิเสธว่าไม่ขาย และไม่ยอมไปจดทะเบียนซื้อขาย ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าว และรับเงินราคาที่ดินจากโจทก์จำนวน 100,000 บาท หากจำเลยไม่สามารถไปทำการจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยสำนวนแรกให้การว่า จำเลยไม่เคยตกลงจะขายที่ดินแปลงพิพาทแก่โจทก์ในราคา 100,000 บาท โจทก์จำเลยตกลงจะซื้อขายที่ดินแปลงพิพาทในราคา 325,000 บาท โดยโจทก์จะขอชำระราคาที่ดินทั้งหมดหลังจากที่ประกาศกำหนด 30 วันแล้ว หลังจากประกาศครบกำหนด 30 วันแล้วโจทก์กลับเป็นฝ่ายผิดนัดไม่มาทำนิติกรรมขอรับโอนจากจำเลย และโจทก์เป็นฝ่ายขอผัดผ่อนเรื่อยมา ครั้งสุดท้ายจำเลยนัดโจทก์ไปทำการขอรับโอนที่ดินพร้อมกับให้โจทก์นำเงินค่าที่ดินตามที่ตกลงซื้อขายกันจริงไปมอบให้จำเลยด้วย โดยในวันดังกล่าว จำเลยมอบอำนาจให้นายทวีสินเป็นผู้ไปดำเนินการแทนฝ่ายโจทก์ผิดนัดอีก จำเลยได้บอกเลิกการขายที่ดินแปลงพิพาทแก่โจทก์แล้ว นอกจากนี้จำเลยยังมอบหมายให้ทนายความมีหนังสือแจ้งยืนยันการบอกเลิกการซื้อขายที่ดินและให้ขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉยจนจำเลยต้องฟ้องขับไล่โจทก์ให้ออกจากที่ดินแปลงพิพาท
โจทก์สำนวนหลังฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 5 โจทก์ตกลงขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยเพื่อนำไปดำเนินการค้าขายน้ำมันเชื้อเพลิงในราคา 325,000 บาท จำเลยผิดนัดไม่ไปขอรับโอน โจทก์ได้บอกเลิกการขายแก่จำเลย เพราะถือว่าจำเลยไม่ประสงค์จะซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากโจทก์อีกต่อไป โจทก์ให้นายทวีสินไปจดทะเบียนยกเลิกการขายต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หลังจากที่โจทก์จดทะเบียนยกเลิกการขายแล้ว จำเลยและบริวารไม่ยอมออกไปจากที่ดินของโจทก์จำเลยกลับนำทรัพย์สินต่าง ๆ เข้าไปติดตั้งในที่ดินของโจทก์ โจทก์จึงมอบให้ทนายความมีหนังสือแจ้งยืนยันให้ส่งมอบที่ดินแปลงดังกล่าวคืนให้กับโจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย และห้ามมิให้จำเลยหรือบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป
จำเลยสำนวนหลังให้การว่า โจทก์ได้ตกลงขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยในราคา 100,000 บาท โดยจำเลยจะชำระราคาในวันจดทะเบียนซื้อขายกัน จำเลยไปติดต่อกับโจทก์เพื่อไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินและรับชำระราคาที่ดิน แต่โจทก์กลับปฏิเสธว่าไม่ขาย และตั้งข้อเสนอใหม่ว่าจะให้จำเลยเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวซึ่งจำเลยไม่ตกลงด้วย โจทก์จึงไม่ยอมไปจดทะเบียนซื้อขายที่ดินให้จำเลย จำเลยได้ทวงถามให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาหลายครั้งซึ่งโจทก์ขอผัดผ่อนเรื่อยมา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่โจทก์ และให้โจทก์ขนย้ายทรัพย์สินออกไปเสียจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 5และให้โจทก์ส่งมอบที่ดินแปลงดังกล่าวคืนแก่จำเลยในสภาพที่เรียบร้อยและห้ามมิให้โจทก์หรือบริวารโจทก์เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าวอีกต่อไป ให้ยกฟ้องโจทก์ คำขออื่นให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาจะต้องพิจารณาตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทมิใช่จำนวน 100,000 บาท แต่เป็นราคาตามที่จำเลยนำสืบ เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เห็นว่าโจทก์และจำเลยตกลงซื้อขายที่ดินโดยมิได้มุ่งหมายจะทำหลักฐานกันเป็นหนังสือเมื่อจำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์ตั้งแต่ที่ได้ตกลงทำสัญญากันสัญญาจะซื้อขายจึงสมบูรณ์ในแบบที่ได้มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสองสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้โดยไม่จำต้องมีเอกสารเป็นหนังสือเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมจึงเป็นเพียงพฤติการณ์ที่คู่กรณีแสดงเจตนาจะทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเท่านั้นจำเลยจึงนำสืบถึงราคาที่แท้จริงได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 และฟังว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา
พิพากษายืน

Share