แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บิดาจำเลยถึงแก่กรรมตั้งแต่จำเลยอายุ 1 ขวบ โจทก์ซึ่งเป็นปู่ได้เลี้ยงดูจำเลยตั้งแต่นั้นมาให้การศึกษา ให้เรียนเย็บผ้า เมื่อจำเลยอายุได้ 11 ปี โจทก์ได้ยกที่พิพาท 2 แปลงให้จำเลย และโจทก์ไม่มีที่ดินเหลือแล้วเพราะได้ยกให้แก่คนอื่นๆ หมดแล้วก็ตาม การให้ดังกล่าวก็หาใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาไม่ เพราะโจทก์ไม่มีหน้าที่ตามธรรมจรรยาที่จะต้องกระทำเช่นนั้น จำเลยชี้หน้าค่าโจทก์กว่า อ้ายแก่ฉิบหาย กูไม่นับถือมึง มึงโกงที่ดินกู การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการประพฤติเนรคุณและโจทก์ชอบที่จะถอนคืนการให้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ยกที่ดินให้แก่จำเลยซึ่งเป็นหลานสาวของโจทก์ ๒ แปลง เนื้อที่ราว ๓๒ ไร่ ต่อมาจำเลยค่าโจทก์อย่างรุนแรงและหมิ่นประมาทโจทก์ขอให้ศาลถอนคืนการให้ที่ดินทั้งสองแปลงนั้น เพราะเหตุจำเลยเนรคุณ
จำเลยให้การว่า ไม่ได้เนรคุณโจทก์ ที่พิพาทขณะให้ราคาไม่มาก เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา โจทก์ไม่มีสิทธิถอนคืนการให้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ยกที่พิพาทให้จำเลยโดยหน้าที่ธรรมจรรยา โจทก์ถอนคืนเพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ไม่ใช่ให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยา พิพากษาให้จำเลยโอนที่พิพาทคืนให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ว่า โจทก์เป็นปู่จำเลยและได้เลี้ยงดูจำเลยมาตั้งแต่อายุได้ ๑ ขวบ หลังจากบิดาจำเลยถูกยิงตาย มารดาของจำเลยก็ส่งจำเลยมาหาโจทก์จำเลย โจทก์ก็เลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่จำเลยตลอดมาจนให้เรียนเย็บผ้าจนกระทั่งจำเลยแต่งงานไปเมื่ออายุได้ ๑๙ ปี ขณะที่โจทก์ยกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลย จำเลยอายุ ๑๑ ปี และโจทก์ไม่มีที่ดินเหลืออีก เพราะได้ยกให้คนอื่นหมดแล้วแต่การยกให้ดังกล่าวของโจทก์ก็หาใช่เป็นการให้โดยหน้าที่ธรรมจรรยาแต่ประการใดไม่ เพราะโจทก์หามีหน้าที่ธรรมจรรยาที่จะต้องกระทำเช่นนั้นไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ชี้หน้าค่าโจทก์ว่า อ้ายแก่ฉิบหาย กูไม่นับถือมึง มึงโกงที่ดินกู การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕๓๑ (๒) ซึ่งถือว่าเป็นการประพฤติเนรคุณ และโจทก์ชอบที่จะถอนคืนการให้ได้
พิพากษายืน