คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2039/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บันทึกข้อตกลงตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.5 แม้จะมีข้อตกลงว่าโจทก์และจำเลยตกลงหย่ากัน แต่ตราบใดที่ยังไม่ไปจดทะเบียนหย่าก็ต้องถือว่าโจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันเมื่อมีข้อตกลงเกี่ยวกับ ทรัพย์สินด้วย จึงเป็นสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่ได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากัน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1469
โจทก์ฟ้องขอหย่า การที่จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งอ้างว่าบอกเลิกสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่โจทก์จำเลย ได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันแล้วย่อมถือได้ว่าคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการแสดงเจตนา บอกล้างไปในตัว และเป็นการบอกล้างในขณะเป็นสามีภริยากันอยู่ยังไม่มีคำพิพากษาให้หย่าขาดจากกัน ถือได้ว่าบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 ดังกล่าว จำเลยได้มีการบอกล้างแล้ว จึงไม่มีผลบังคับแก่โจทก์จำเลยอีก ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 500,000 บาท เกี่ยวกับบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 ให้แก่โจทก์ได้ หากโจทก์มีสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาอย่างไรก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวแก่กันตามสิทธิต่อไป
จำเลยซึ่งเป็นสามีโจทก์มีฐานะดี ส่วนโจทก์ประกอบอาชีพเป็นพนักงานขายของประจำห้างสรรพสินค้า มีเงินเดือนเพียงเดือนละประมาณ 4,000 บาท โจทก์ยังต้องเช่าบ้านอยู่ การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันและให้บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองและอุปการะเลี้ยงดูของจำเลยฝ่ายเดียวโดยไม่ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองให้จำเลยชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาด จากการเป็นสามีภริยา ให้เพิกถอนอำนาจปกครองบุตรทั้งสองของจำเลย โดยให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร แต่เพียงผู้เดียวให้จำเลยชำระเงินสินสมรสจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่จำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองคนในอัตราเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท จนกระทั่งเด็กชายอภิวัฒน์ ตาลสกุล มีอายุ ๑๐ ปี และในอัตราเดือนละ ๑๒,๐๐๐ บาท จนกระทั่งเด็กชายอภิวัฒน์บรรลุนิติภาวะ
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและให้พิพากษาให้จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับโจทก์ เพิกถอนอำนาจปกครองบุตรทั้งสองของโจทก์โดยให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจปกครองบุตรทั้งสองแต่ผู้เดียว กับให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองแก่จำเลยเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ไปจนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างการพิจารณา โจทก์และจำเลยตกลงกันได้ในประเด็นหย่าโดยยินยอมหย่าขาดจากกันตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๐
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกัน ให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชายถิระวัฒน์ ตาลสกุลและเด็กชายอภิวัฒน์ ตาลสกุล บุตรผู้เยาว์ทั้งสองเพียงผู้เดียว คำขออื่นนอกจากนี้ของโจทก์และจำเลยให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยาโดย จดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๓ มีบุตรด้วยกัน ๒ คน คือเด็กชายถิระวัฒน์ ตาลสกุล เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๔ และเด็กชายอภิวัฒน์ ตาลสกุล เกิดเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๗ โจทก์และจำเลยตกลงที่จะหย่ากันโดยให้ร้อยตำรวจเอกขวัญชัย กองศักดิ์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าวทำบันทึกข้อตกลงไว้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นข้อแรกว่า จำเลยต้องชำระเงินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์หรือไม่ ปัญหาข้อนี้เป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี ซึ่งศาลชั้นต้นได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีสิทธิยกเลิกสัญญาเพราะตามบันทึกข้อตกลงตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.๕ ไม่ได้ให้สิทธิไว้ จำเลยก็ได้ยกขึ้นอุทธรณ์ว่า จำเลยยกเลิกสัญญาแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ จำเลยจึงมีสิทธิยกขึ้นฎีกา เห็นว่า บันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.๕ แม้จะมีข้อตกลงว่าโจทก์และจำเลยตกลงหย่ากันแต่ตราบใดที่ยังไม่ไป จดทะเบียนหย่าก็ต้องถือว่าโจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันอยู่ เมื่อข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.๕ มีข้อตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินด้วย ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่โจทก์จำเลยได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น ดังนั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้… ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๖๙ เมื่อจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ได้บอกเลิกข้อตกลงแล้วโจทก์ไม่ได้ให้การแก้ฟ้องแย้งปฏิเสธว่าไม่มีการบอกล้าง จึงถือว่าโจทก์ยอมรับตามที่จำเลยให้การและฟ้องแย้ง นอกจากนี้คดีนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขอหย่า การที่จำเลยยื่นคำให้การและอ้างว่าบอกเลิกข้อตกลงแล้ว ย่อมถือได้ว่าคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการแสดงเจตนาบอกล้างไปในตัว และเป็นการบอกล้างในขณะยังเป็นสามีภริยากันอยู่ ยังไม่มีคำพิพากษาให้หย่าขาดจากกัน ถือได้ว่าบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.๕ ดังกล่าว จำเลยได้มีการบอกล้างแล้วจึงไม่มีผลบังคับแก่โจทก์จำเลยอีก ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท เกี่ยวกับบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.๕ ให้แก่โจทก์ได้ หากโจทก์มีสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาอย่างไรก็ชอบที่จะไปกล่าวแก่กันตามสิทธิต่อไป
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองแก่จำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยมีฐานะดี ส่วนโจทก์ก็เบิกความว่า ประกอบอาชีพเป็นพนักงานขายของประจำห้างสรรพสินค้า มีเงินเดือนเพียงเดือนละประมาณ ๔,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยก็นำสืบทำนองเดียวกันนอกจากนี้โจทก์ยังต้องเช่าบ้านอยู่ การที่ศาลล่างทั้งสองให้บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองเลี้ยงดูบุตรของจำเลยฝ่ายเดียวโดยไม่ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองทั้งสองให้จำเลยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระเงิน จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะไปฟ้องแบ่งทรัพย์ระหว่างสามีภริยาเป็นคดีใหม่ภายในอายุความ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ .

Share