แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องคดีโดยมอบอำนาจให้ พ. เป็นผู้ดำเนินคดีแทน แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ธ. มีอำนาจกระทำการ แทนโจทก์ที่จะลงชื่อมอบอำนาจให้ พ. ฟ้องคดีแทนโจทก์ได้ การที่ ธ. ลงชื่อมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนโจทก์ขัดต่อข้อบังคับของโจทก์เรื่องจำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันโจทก์ได้ เป็นกรณีโจทก์ในฐานะนิติบุคคลฟ้องคดี โดยผู้ไม่มีอำนาจกระทำแทนได้ ความประสงค์ของโจทก์จึงไม่เป็นการแสดงให้ปรากฏโดยผู้แทนของนิติบุคคล ตาม ป.พ.พ. มาตรา 70 วรรคสอง
ตามคำให้การจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากการมอบอำนาจไม่สมบูรณ์โดยไม่ได้ระบุว่าการมอบอำนาจไม่สมบูรณ์อย่างไร เป็นคำให้การที่ไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง คำให้การใน เรื่องนี้จึงไม่มีประเด็น แต่อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้
โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอแก้ไขจากเดิม พ. ผู้รับมอบอำนาจเป็น ส. ผู้รับมอบอำนาจโดยที่จำเลยไม่คัดค้านและศาลชั้นต้นอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องได้นั้น เมื่อ ธ. ไม่มีอำนาจลงชื่อมอบอำนาจให้ พ. ฟ้องคดีแทนโจทก์ พ. จึงไม่มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์มาแต่แรกฟ้อง ถึงแม้ต่อมาภายหลังโจทก์จะทำหนังสือมอบอำนาจให้ ส. ฟ้องคดีนี้ยื่นเข้ามา ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์ที่เสียมาแต่ต้นแล้วกลับคืนดีเป็นฟ้องที่ยื่นฟ้องและดำเนินคดีโดยผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ขึ้นมาในภายหลังได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๔๕๕,๕๘๓.๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี ของต้นเงิน ๔๓๗,๒๕๔.๓๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีเนื่องจากการมอบอำนาจไม่สมบูรณ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๓๑๒,๕๙๐.๔๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี ของเงินต้น ๒๗๕,๘๐๘.๕๖ บาท นับแต่วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๔ จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ หากไม่พอชำระให้ ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองชำระหนี้จนครบ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยมอบอำนาจให้นายพจน์เป็นผู้ดำเนินคดีแทน แต่โจทก์คงมีแต่นายสุรชัย จันทร์เจริญ ลูกจ้างโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า เดิมโจทก์มอบอำนาจให้นายพจน์ดำเนินคดีนี้แทน ภายหลังนายพจน์ย้ายไปอยู่ที่สาขาอื่น พยานย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้จัดการโจทก์สาขาหนองบัวลำภูจึงได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีนี้แทน ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายเธียรชัย ศรีวิจิตร มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ที่จะลงชื่อมอบอำนาจให้ นายพจน์ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ได้ การที่นายเธียรชัยลงชื่อมอบอำนาจให้นายพจน์ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์จึงขัดต่อข้อบังคับของโจทก์เรื่องจำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันโจทก์ จึงเป็นกรณีโจทก์ในฐานะนิติบุคคลฟ้องคดีโดยผู้ไม่มีอำนาจกระทำแทน ความประสงค์ของโจทก์ไม่แสดงปรากฏจากผู้แทนนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๐ วรรคสอง
การที่จำเลยให้การว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเนื่องจากการมอบอำนาจไม่สมบูรณ์โดยไม่ได้ระบุว่าการมอบอำนาจไม่สมบูรณ์อย่างไร เป็นคำให้การที่ไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง คำให้การในเรื่องนี้จึงไม่มีประเด็น แต่อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ ส่วนกรณีที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอแก้ไขจากเดิมนายพจน์ผู้รับมอบอำนาจเป็นนายสุรชัยผู้รับมอบอำนาจโดยที่จำเลยทั้งสองไม่คัดค้านและศาลชั้นต้นอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องได้นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายเธียรชัยไม่มีอำนาจลงชื่อ มอบอำนาจให้นายพจน์ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ นายพจน์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์มาแต่แรกฟ้อง ถึงแม้ต่อมาภายหลังโจทก์จะทำหนังสือมอบอำนาจให้นายสุรชัยฟ้องคดีนี้ยื่นเข้ามาก็ตามก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์ที่เสีย มาแต่ต้นแล้วนั้นกลับคืนดีเป็นฟ้องที่ยื่นฟ้องและดำเนินคดีโดยผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ขึ้นมาในภายหลังได้ไม่
พิพากษายืน