คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2030/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยใช้ให้เด็กหญิงป.ไปรับยาเสพติดให้โทษเฮโรอีน โดยเด็กหญิงป.ไม่ทราบข้อเท็จจริง การที่เด็กหญิงป. ครอบครองยาเสพติดให้โทษเฮโรอีนก็ถือว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองยาเสพติดให้โทษเฮโรอีนเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 8, 18, 66, 102 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2522) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 17 กันยายน 2522ข้อ 1(1) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ริบเฮโรอีนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคแรก, 66 วรรคแรก จำคุก 20 ปีของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายบรรเลง ธัญถาวร และเด็กหญิงปวีณา อ่อนน้อม พร้อมยาเสพติดให้โทษเฮโรอีน จำนวน 20 หลอด หนัก 18.76 กรัมเป็นของกลาง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่… พฤติการณ์ของจำเลยที่โจทก์นำสืบมาว่า จำเลยใช้ให้เด็กหญิงปวีณาไปรับยาเสพติดให้โทษเฮโรอีน โดยเด็กหญิงปวีณาไม่ทราบข้อเท็จจริง การที่เด็กหญิงปวีณาครอบครองยาเสพติดให้โทษเฮโรอีน ก็ถือว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองยาเสพติดให้โทษเฮโรอีนนั่นเอง จึงฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นหนักเกินไปศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share