แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์ ๆ ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายได้
ถ้ามีอุทธรณ์แต่ฉะเพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงใดที่ศาลชั้นต้นยังมิได้ชี้ขาดมาได้หรือไม่
(หมายเหตุ คดีนี้ศาลอุทธรณ์จะมีอำนาจฟังข้อเท็จจริงได้หรือไม่ ศาลฎีกาไม่ชี้ขาด ศาลฎีกาชี้ขาดเพียงว่าข้ออุทธรณ์ของจำเลยอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคำพิพากษาศาลชั้น ข้อฎีกาของจำเลยจึงตกไป)
ย่อยาว
คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญามาตรา ๑๒๓
โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพะยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้รับเงินไปจากผู้เสียหายนั้นไม่ชอบด้วย ม.๑๙๔ แห่งประมวลวิธีพิจารณาอาญา เพราะจำเลยมิได้เถียงข้อเท็จจริงและโจทก์อุทธรณ์ฉะเพราะข้อกฎหมายและว่าจำเลยต้องมีผิดตาม ม.๑๒๓
ศาลฎีกาตัดสินว่า สำหรับฎีกาข้อแรกนั้นปรากฎในฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ว่าศาลชั้นต้นฟัองข้อเท็จจริงว่าจำเลยไปพูดกับเจ้าทุกข์ว่าเจ้าทุกข์ไปเล่นถั่วเอาเงินให้จำเลยเสีย ๑๐ บาท จำเลยจะเอาไปให้เจ้าพนักงานตำรวจและอำเภอจะไม่ต้องถูกจับกุม เจ้าทุกข์จึงให้เงินจำเลยไป ๑๐ บาท โจทก์ว่าข้อเท็จจริงดังนี้จำเลยต้องมีผิดตาม ม.๑๒๐ แต่ศาลฎีกาได้ตรวจคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วไม่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นได้ชี้ขาดว่าเจ้าทุกข์ได้ให้เงินจำเลยไปหรือไม่ โจทก์กล่าวความในอุทธรณ์โดยตั้งข้อเท็จจริงเอาเอง ฎีกาข้อนี้จึงตกไป ส่วนฎีกาอีกข้อหนึ่งนั้น ตามข้อเท็จจริงซึ่งโจทย์ยอมรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น ไม่ปรากฎว่าจำเลยได้แสดงตนเป็นคนสนิทชิดชอบต่อเจ้าพนักงานอย่างไร จึงพิพากษายืนตามให้ยกฎีกโจทก์