แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 5 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุจำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 4 ได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของจำเลยที่4 ชนรถโจทก์เสียหายดังนี้คำฟ้องของโจทก์ย่อมมีความหมายว่า จำเลยที่ 4 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 เป็นเพียงผู้แทนของจำเลยที่5 ซึ่งเป็นนิติบุคคลเท่านั้น ซึ่งพอเข้าใจว่าจำเลยที่1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 5 และได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่5 โดยจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการทำแทน จึงเป็นคำฟ้องที่ให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะนายจ้างหรือตัวการของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 425 และ มาตรา 820 แล้ว
การที่จำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 และศาลกะประเด็นข้อพิพาทว่า การที่จำเลยที่ 1 ขับรถก่อการละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 หรือไม่เป็นการกะประเด็นกว้างๆ ซึ่งย่อมหมายถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้แทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 และที่กะประเด็นอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่2 ถึงที่ 6 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 เพียงใดหรือไม่ย่อมหมายถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะส่วนตัว และหมายถึงจำเลยที่ 5 โดยมีจำเลยที่ 4เป็นผู้แทน ดังนั้น ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5 จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 และที่ 4จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 3 และเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 4 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมกันเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ โดยมีจำเลยที่ 6 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว จำเลยที่ 1 ขับขี่รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 และที่ 4 ชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย ขอบังคับให้จำเลยทั้งหกร่วมกันและแทนกันชำระเงิน 192,055.01 บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนขับขี่รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 4แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 คนหนึ่งคนใดหรือร่วมกันเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เหตุรถชนเกิดจากความประมาทของทั้งสองฝ่าย ค่าเสียหายไม่มากเท่าที่โจทก์ฟ้อง และจำเลยที่ 6 รับผิดไม่เกินวงเงินที่รับประกันภัยไว้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 4 ที่ 5 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 186,090 บาทพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยจากต้นเงิน 192,055.01 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 6
จำเลยที่ 4 และที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะดอกเบี้ยให้จำเลยชำระจากต้นเงิน186,090 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องให้จำเลยที่ 4 รับผิดต่อโจทก์ในฐานะจำเลยที่ 4 เป็นนายจ้างหรือตัวการของจำเลยที่ 1ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 และมาตรา 820 และให้จำเลยที่ 5รับผิดในฐานะเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 จึงไม่เป็นการบรรยายฟ้องที่ให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะนายจ้างหรือตัวการของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 และมาตรา 820 และเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องให้จำเลยที่ 5รับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 ในฐานะเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุก โดยไม่บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 5และขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปชนกับรถของโจทก์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5 แล้วจำเลยที่ 5 ก็ไม่ต้องรับผิดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 5 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ จำเลยที่ 4เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 4 ได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของจำเลยที่ 4ชนรถโจทก์เสียหาย ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ย่อมมีความหมายว่า จำเลยที่ 4 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 เป็นเพียงผู้แทนของจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นนิติบุคคลเท่านั้น ซึ่งพอเข้าใจว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 5และได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 โดยจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการทำแทน จึงเป็นคำฟ้องที่ให้จำเลยที่ 5รับผิดในฐานะนายจ้างหรือตัวการของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 425 และ มาตรา 820 แล้ว
ที่จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อหนึ่งว่าจำเลยที่ 1 ขับรถก่อการละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 4 หรือไม่และกำหนดประเด็นอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 เพียงใดหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5 จึงเป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 4 และที่ 5มิได้ให้การปฏิเสธว่า จำเลยที่ 4 ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 การที่ศาลกะประเด็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ขับรถก่อการละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 หรือไม่ เป็นการกะประเด็นกว้าง ๆ ซึ่งย่อมหมายถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้แทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 5 และที่กะประเด็นว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6จะต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 เพียงใดหรือไม่ย่อมหมายถึงจำเลยที่ 4 ในฐานะส่วนตัว และหมายถึงจำเลยที่ 5 โดยที่จำเลยที่ 4เป็นผู้แทน การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะที่จำเลยที่ 1เป็นลูกจ้างและกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5 จึงไม่เป็นการวนิจฉัยนอกประเด็น
สำหรับค่าเสื่อมราคาของโจทก์นั้น รถของโจทก์ใช้มา 3 ปีเศษ และได้ทำการซ่อมอย่างดีเยี่ยม กับเปลี่ยนอะไหล่ถึง 47 รายการ ความเสียหายจากการเสื่อมราคาจึงไม่มากดังที่ศาลอุทธรณ์กำหนด เห็นสมควรกำหนดเสียใหม่
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์รวม136,090 บาท พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์