คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2021/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนจำเลยที่2คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยอ้างว่าจำเลยที่2เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่1คดีนี้เพื่อประกอบเกษตรกรรมต่อมาจำเลยที่1ได้ขายที่ดินให้แก่โจทก์โดยโจทก์ทราบดีว่าจำเลยที่2เช่าที่ดินทำกสิกรรมอยู่และจำเลยที่1มิได้แจ้งให้จำเลยที่2ทราบก่อนทำให้จำเลยที่2ขาดโอกาสที่จะซื้อที่ดินได้ก่อนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ขอให้บังคับโจทก์โอนขายที่ดินแก่จำเลยที่2ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนจึงมีว่าจำเลยที่2เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่1และมีสิทธิที่จะซื้อที่ดินก่อนโจทก์หรือไม่ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่1และที่2ได้สมคบร่วมกันฉ้อฉลโจทก์โดยจำเลยที่1ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินที่จำเลยที่1ขายให้โจทก์ไม่ได้ให้เช่าและจำเลยที่2และจำเลยที่1กับโจทก์ได้ตกลงกันให้โจทก์จ่ายค่าตอบแทนแก่จำเลยที่2ในการออกจากที่ดินเป็นเหตุให้โจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยที่1และชำระค่าตอบแทนแก่จำเลยที่2ไปภายหลังจำเลยที่1กลับให้ถ้อยคำเท็จต่อกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลว่าจำเลยที่2เป็นผู้เช่าที่ดินดังกล่าวเป็นเหตุคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมประจำจังหวัดมีมติให้โจทก์ขายที่ดินแก่จำเลยที่2และต่อมาศาลพิพากษาบังคับโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์หากไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้มีว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่และโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใดซึ่งต่างกับประเด็นในคดีก่อนจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์อุทธรณ์และฎีกาเพียงขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีเป็นการอุทธรณ์และฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาเพียง200บาทตามตาราง1ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(2)(ก)แต่โจทก์เสียมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2526 จำเลยที่ 1ได้ตกลงขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ในโฉนดเลขที่ 2169ตำบลท่าเสา อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาครเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ให้แก่โจทก์ในราคาไร่ละ30,000 บาท กำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในวันที่ 30 มิถุนายน 2526 ในเวลาที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันนั้น จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหลานของจำเลยที่ 1 และนางหนู แก้วดวงเล็ก มารดาจำเลยที่ 2 พี่สาวจำเลยที่ 1ซึ่งอยู่ในที่ดินมรดกของนางเฮียงในส่วนที่จำเลยที่ 1ตกลงขายให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 กับโจทก์ได้ตกลงกันว่าให้โจทก์จ่ายค่าตอบแทนแก่นางหนูเป็นเงิน 30,000 บาทและแก่จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 40,000 บาท เป็นการตอบแทนแก่จำเลยที่ 2 และนางหนูในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยตกลงจะออกจากที่ดินในส่วนที่จำเลยที่ 1ขายให้แก่โจทก์ ครั้นถึงกำหนดจำเลยที่ 1 ได้เลื่อนการจดทะเบียนที่ดิน เนื่องจากการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมไม่เสร็จ เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกของนางเฮียงมารดาจำเลยที่ 1 ซึ่งตกทอดมายังจำเลยที่ 1 และทายาทอื่นรวมทั้งนางหนูมารดาจำเลยที่ 2 ด้วย ต่อมาโฉนดที่แบ่งแยกออกมาใหม่คือโฉนดเลขที่ 10561 ตำบลท่าเสาอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 16 ไร่3 งาน 3 9/10 ตารางวา ครั้นวันที่ 7 มิถุนายน 2527โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ซื้อขายกัน โจทก์จึงชำระเงินค่าตอบแทนแก่นางหนูและจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 70,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1เป็นผู้รับเงินในฐานะตัวแทนของนางหนูและจำเลยที่ 2ในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันนั้นจำเลยที่ 1ได้แจ้งแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่า ที่ดินที่ขายให้แก่โจทก์ไม่ได้ให้เช่า ซึ่งหมายความว่าที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 1ไม่ได้ให้นางหนูและจำเลยที่ 2 เช่า หากไม่มีการตกลงกันในเรื่องค่าตอบแทนให้แก่นางหนูและจำเลยที่ 2และจำเลยที่ 1 ไม่แจ้งแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่า ที่ดินที่ซื้อขายไม่มีผู้เช่า โจทก์จะไม่ซื้อที่ดินดังกล่าวเมื่อได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1และที่ 2 ก็ยังครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 10561 อยู่ไม่ยอมส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์ ทั้งจำเลยที่ 1และที่ 2 ยังสมคบกันหาทางเอาที่ดินคืนเนื่องจากราคาที่ดินสูงขึ้น โดยจำเลยที่ 2 ได้แจ้งแก่คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลกระทุ่มแบนว่า จำเลยที่ 2เป็นผู้เช่าที่ดินที่จำเลยที่ 1 ขายให้แก่โจทก์จำเลยที่ 2มีสิทธิที่จะซื้อที่ดินก่อน คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลกระทุ่มแบน สอบสวนแล้ว มีมติไม่ให้จำเลยที่ 2ซื้อที่ดินจากโจทก์จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดสมุทรสาคร คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดสมุทรสาครมีมติให้โจทก์ขายที่ดินที่โจทก์ซื้อจากจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2ในราคา 200,000 บาท ตามที่แจ้งในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดิน เหตุที่คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดสมุทรสาครมีมติให้จำเลยที่ 2มีสิทธิซื้อที่ดิน เนื่องจากจำเลยที่ 1 และที่ 2สมคบร่วมกันฉ้อฉลโจทก์โดยทำสัญญาเช่าที่ดินที่ขายให้แก่โจทก์ตามสัญญาเช่าที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2ซึ่งทำขึ้นวันที่..มกราคม 2527 ตามเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นวันหลังจากที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายกันแล้วและเป็นการขัดกับที่จำเลยที่ 1 ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า ที่ดินที่ขายให้แก่โจทก์ไม่ได้ให้เช่า นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อนายประพัฒน์ ประจันตเสน ปลัดอำเภอกระทุ่มแบนจังหวัดสมุทรสาครในฐานะเจ้าพนักงานผู้เป็นคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลกระทุ่มแบนว่าที่จำเลยที่ 1 รับเงินจากโจทก์จำนวน 70,000 บาทนั้นจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับในฐานะเป็นตัวแทนของนางหนูและจำเลยที่ 2 เป็นผลให้คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดสมุทรสาครลงมติให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิซื้อที่ดินจากโจทก์ แล้วจำเลยที่ 2อ้างมติของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมประจำจังหวัดสมุทรสาครฟ้องบังคับให้โจทก์ขายที่ดินแก่จำเลยที่ 2 ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้โจทก์ขายที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 237/2529 ของศาลชั้นต้นการกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายราคาที่ดินพิพาทในขณะฟ้องไร่ละ 1,500,000 บาท คิดเป็นค่าเสียหาย 25,140,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบการครอบครองและให้โจทก์ได้รับกรรมสิทธิ์โดยเด็ดขาดในที่ดินโฉนดเลขที่ 10561 ตำบลท่าเสาอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร หากจำเลยทั้งสองไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 25,140,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องแก่โจทก์ โจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 2เป็นผู้เช่าจึงมีการจ่ายเงินทดแทนให้แก่จำเลยที่ 2 ด้วยการที่โจทก์ไม่เรียกจำเลยที่ 1 เข้าไปเป็นคู่ความในคดีที่โจทก์ถูกจำเลยที่ 2 ฟ้องบังคับให้โจทก์ขายที่ดินพิพาทเป็นความผิดของโจทก์เอง จำเลยที่ 1 สามารถพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้ว่า ที่ดินพิพาทไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โจทก์จึงไม่มีอำนาจมาฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดเป็นคดีนี้ ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมการที่โจทก์ต้องโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 นั้นโจทก์ได้รับชำระราคาจากจำเลยที่ 2โจทก์มิได้เสียสิทธิโดยไม่ได้รับชำระราคาที่ดินคืนโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายใด ๆ จากจำเลยที่ 1 ในกรณีที่โจทก์เสียหายก็เสียหายเพียงดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 480,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดการไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยที่ 2 ที่ได้นัดไว้และงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่237/2529 ของศาลชั้นต้น ซึ่งถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์โอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 เนื่องจากจำเลยที่ 2เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 เจ้าของตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่237/2529 ของศาลชั้นต้นหรือไม่เห็นว่า คดีก่อนคือ คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 237/2529 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย อ้างว่าจำเลยที่ 2เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 คดีนี้เพื่อประกอบเกษตรกรรมต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ทราบดีกว่าจำเลยที่ 2 เช่าที่ดินพิพาททำกสิกรรมอยู่ และจำเลยที่ 1 มิได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบก่อน ทำให้จำเลยที่ 2ขาดโอกาสที่จะซื้อที่ดินพิพาทได้ก่อนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ขอให้บังคับโจทก์โอนขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 ตามราคาที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากจำเลยที่ 1ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนจึงมีว่า จำเลยที่ 2เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และมีสิทธิที่จะซื้อที่ดินพิพาทก่อนโจทก์หรือไม่ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้สมคบร่วมกันฉ้อฉลโจทก์ แจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานและทำเอกสารเท็จ โดยจำเลยที่ 1 ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยที่ 1 ขายให้โจทก์ไม่ได้ให้เช่า และจำเลยที่ 2 กับมารดาจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1กับโจทก์ได้ตกลงกันให้โจทก์จ่ายค่าตอบแทนแก่มารดาจำเลยที่ 2และจำเลยที่ 2 ในการออกจากที่ดินพิพาท เป็นเหตุให้โจทก์ตกลงซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และชำระค่าตอบแทนแก่จำเลยที่ 2และมารดาจำเลยที่ 2 ไป ภายหลังจำเลยที่ 1 กลับได้ถ้อยคำเท็จต่อกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลกระทุ่มแบนว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทที่จำเลยที่ 1 ขายให้แก่โจทก์ เป็นเหตุให้คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมประจำจังหวัดสมุทรสาครมีมติให้โจทก์ขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 และต่อมาศาลพิพากษาบังคับโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หากไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 25,140,000 บาท เท่าราคาในท้องตลาดของที่ดินพิพาทพร้อมดอกเบี้ยฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์และประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้มีว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใด ซึ่งโจทก์ก็ได้มีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์แล้ว แม้โจทก์และจำเลยที่ 2 ในคดีนี้เป็นคู่ความรายเดียวกันกับคดีก่อน และโจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสองส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ด้วยก็ตามแต่ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนและคดีนี้เป็นคนละประเด็นกันจึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยมาแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
อนึ่ง โจทก์อุทธรณ์และฎีกาเพียงขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีเป็นการอุทธรณ์และฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลืองทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาเพียง 200 บาท ตามตาราง 1ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (2)(ก) แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ชั้นละ200,000 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท ให้แก่โจทก์ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาล นอกจากที่สั่งคืนให้ศาลชั้นต้นรวมสั่ง>เมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share