แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ได้ร่วมไปกับ ค.และพวกบังคับขอเงินจากส. และสุ จนเกิดเหตุ ค.ใช้ขวานฟันส.แล้วหนีไปกับค. และพวก ต่อมาจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนมาด้วยกับ ค.และพวก เพื่อจะทำร้ายส. และ สุ อีกเมื่อผู้ตายซึ่งเป็นพวกของส.และสุขัดขวาง ค. กับพวกใช้ปืนยิงผู้ตาย แม้จะไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยิงผู้ตาย ก็ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เจตนาร่วมกับ ค. และพวกกระทำผิด ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้อยู่ในการวิวาทครั้งแรก ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ไม่มีอาวุธปืน การที่จำเลยที่ 2 เพียงแต่มาด้วยกับ ค. และพวกในครั้งหลังเท่านั้น ไม่มีข้อเท็จจริงให้เห็นว่าก่อนหน้านั้นได้มีการสมคบจะมาทำร้ายหรือฆ่าผู้ตายอย่างใด ขณะเกิดเหตุคงยืนอยู่ด้วยเฉย ๆ ไม่ได้พูดจาหรือแสดงอาการใดที่เป็นการร่วมกระทำกับจำเลยที่ 1 และคนอื่น ๆ จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้ตั้งใจร่วมกับจำเลยที่ 1 และ ค. ที่จะยิงผู้ตาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนพกพาอาวุธปืนบรรจุกระสุนปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และร่วมกันใช้อาวุธปืนนั้นและอาวุธปืนอื่นยิงนายสุวิชาหรือต๋อยโดยเจตนาฆ่า นายสุวิชาถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 83, 91, 92 เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 1 รับในข้อหาเคยต้องโทษและพ้นโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำคุกคนละ 20 ปี ผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72จำคุกคนละ 1 ปี กับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ปรับคนละ 100บาท รวมจำคุก 21 ปี และปรับคนละ 100 บาท เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 28 ปี และปรับ 100 บาท ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ในข้อหาอื่นนอกจากข้อหาว่าร่วมกันพกพาอาวุธปืน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำผิดตามฟ้องหรือไม่และจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาหรือไม่ประจักษ์พยานโจทก์มีนายบุญชู นายสุรพล นายศรี และนายสมชายเบิกความถึงเหตุที่จะเกิดขึ้นสอดคล้องต้องกันตลอด ศาลฎีกาเห็นว่าพวกจำเลยและพยานโจทก์อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ทั้งในขณะเกิดเหตุเป็นเวลาประมาณ21 นาฬิกาไฟฟ้าภายในบ้านพักอาศัยของผู้อยู่ใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุส่องมาถึงเห็นได้ชัดพอจำกันได้ว่าใครเป็นใคร ในเบื้องต้นจึงฟังได้ว่าในคืนเกิดเหตุนายคำพวกของจำเลย มีเหตุทะเลาะกับนายสมชายและนายสุรพลในถนนซอยเยาวพันธ์ในขณะที่นายคำกับจำเลยทั้งสองมาท้าให้นายสมชายออกมาชกต่อยกันอยู่ที่หน้าบ้านนายสุรพล นายสุวิชาผู้ตายซึ่งเป็นเพื่อนกับนายศรีพี่ชายนายสุรพลขี่รถจักรยานยนต์มาถึงและเข้าห้ามปราม นายคำกับพวกจำเลยไม่พอใจจึงเกิดยิงกันขึ้น ผู้ตายถูกกระสุนปืนตาย พยานจำเลยที่นำสืบอ้างฐานที่อยู่ฟังไม่ขึ้นส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดหรือไม่นั้น สำหรับจำเลยที่ 1 ได้ร่วมไปกับนายคำกับพวก บังคับขอเงินจากนายสมชายและนายสุรพลจนเกิดเหตุนายคำใช้ขวานฟันนายสมชายแล้วได้หนีไปกับนายคำและพวก ครั้นระหว่างเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ซึ่งมีอาวุธปืนติดตัวมาด้วย กับนายคำและพวกพากันมาเพื่อจะทำร้ายนายสมชายและนายสุรพลอีก เมื่อผู้ตายซึ่งเป็นพวกของนายสมชายและนายสุรพลขัดขวาง นายคำกับพวกก็ได้ใช้ปืนยิงผู้ตาย แม้จะไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยิงผู้ตายก็ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เจตนาร่วมกับนายคำและพวกกระทำผิด ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้อยู่ในการวิวาทกันครั้งแรก แม้พยานโจทก์จะเบิกความว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 มีปืนด้วย แต่เมื่อพยานโจทก์ดังกล่าวไปชี้ตัวผู้กระทำผิดที่สถานีตำรวจ พยานได้ให้ถ้อยคำไว้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2มิได้มีอาวุธปืนข้อนี้พยานโจทก์จึงตกเป็นที่สงสัย ไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 มีอาวุธปืน การที่จำเลยที่ 2 เพียงแต่มาด้วยกับจำเลยที่ 1 และนายคำกับพวกในครั้งหลังเท่านั้น ไม่มีข้อเท็จจริงให้เห็นว่าก่อนหน้านั้นได้มีการสมคบกันจะมาทำร้ายหรือฆ่าผู้ตายอย่างใด ในขณะเกิดเหตุก็เพียงยืนอยู่ด้วยเฉย ๆ ไม่ได้พูดจาหรือแสดงอาการใดที่เป็นการร่วมกระทำกับจำเลยที่ 1 และคนอื่น ๆทั้งอาวุธปืนก็ไม่มี จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้ตั้งใจร่วมกับจำเลยที่ 1 และนายคำที่จะยิงผู้ตาย
พิพากษายืน