คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2018/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จะได้ความว่า โจทก์ทำสัญญายอมความกับจำเลยไว้อีกฉบับหนึ่ง ในวันเดียวกันกับวันที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่า โจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไปจนกว่าโจทก์จะรื้อถอนตึกพิพาทเพื่อทำการก่อสร้างแต่ สัญญายอมความดังกล่าวโจทก์จำเลย ก็มิได้กระทำต่อหน้าศาล ศาลจึงไม่อาจรับรู้ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยได้ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตาม สัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ต่อหน้าศาล ศาลย่อมออกหมายบังคับคดีตาม ที่โจทก์ร้องขอเพื่อบังคับคดีเอากับจำเลยได้.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกพิพาทซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าตึกพิพาทไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์ใบมอบอำนาจไม่ชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องการเช่าตึกพิพาทเป็นการเช่าไม่มีกำหนดเวลา โจทก์บอกเลิกการเช่าไม่ชอบ ขอให้ยกฟ้อง
ต่อมาคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลมีใจความสำคัญเกี่ยวกับคดีนี้ว่า จำเลยยอมขนย้ายทรัพย์สินสิ่งของพร้อมด้วยบริวารออกไปจากตึกพิพาทภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2531 หากจำเลยผิดนัดตามข้อตกลงดังกล่าว ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2531 คดีถึงที่สุดแล้ว
ต่อมาวันที่ 7 กรกฎาคม 2531 โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินสิ่งของและบริวารออกไปจากตึกพิพาท ผิดสัญญายอมความขอให้บังคับคดี ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามที่โจทก์ขอเมื่อวันที่11 กรกฎาคม 2531 ครั้นต่อมาวันที่ 18 สิงหาคม 2531 จำเลยยื่นคำร้องอ้างว่า เมื่อจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลแล้วในวันเดียวกันโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความอีกฉบับหนึ่งโดยตกลงกันว่าเมื่อครบกำหนดตามสัญญายอมความของศาลแล้ว โจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไปจนกว่าโจทก์หรือผู้ก่อสร้างจะได้เริ่มรื้อถอนหรือก่อสร้างจริง โจทก์ยังมิได้รื้อถอนตึกพิพาทเพื่อก่อสร้างจริง โจทก์ขอให้บังคับคดีเป็นการขัดกับสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่โจทก์ทำไว้กับจำเลย จำเลยยังคงมีสิทธิอยู่ในตึกพิพาทต่อไป ขอให้งดการบังคับคดีและเพิกถอนหมายบังคับคดี
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมในวันที่ 20 ตุลาคม 2531 เมื่อฟังคำแถลงของโจทก์จำเลยแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยผิดสัญญายอมความซึ่งทำไว้ที่ศาลจึงให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยยังมีสิทธิอยู่ในตึกพิพาท เพราะโจทก์ทำสัญญายอมความกับจำเลยไว้อีกฉบับหนึ่ง โดยโจทก์ยอมให้จำเลยอาศัยอยู่ในตึกพิพาทต่อไปจนกว่าโจทก์จะได้เริ่มรื้อถอนทำการก่อสร้างจริง โจทก์ยังมิได้รื้อถอนตึกพิพาทเพื่อก่อสร้างใหม่ตามข้อตกลง จำเลยจึงยังคงมีสิทธิอยู่ในตึกพิพาทโจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นควรไต่สวนให้ได้ความตามคำร้องของจำเลยก่อนนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้จะได้ความว่าโจทก์ทำสัญญายอมความกับจำเลยไว้อีกฉบับหนึ่งในวันเดียวกันกับวันที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาล โดยโจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไปจนกว่าโจทก์จะรื้อถอนตึกพิพาทเพื่อทำการก่อสร้างจริงรายละเอียดปรากฏตามสัญญายอมความดังกล่าวท้ายคำร้องฉบับลงวันที่ 18 สิงหาคม 2531 ของจำเลยก็ตาม แต่สัญญายอมความดังกล่าว โจทก์จำเลยมิได้กระทำต่อหน้าศาล ศาลจึงไม่อาจรับรู้ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยดังกล่าวได้ จำเลยจะมีสิทธิตามสัญญายอมความดังกล่าวอย่างไรหรือไม่เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวเอากับโจทก์ใหม่ต่างหาก คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ต่อหน้าศาล เมื่อจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความเช่นนี้ ศาลก็ย่อมจะต้องออกหมายบังคับคดีตามที่โจทก์ร้องขอเพื่อบังคับคดีเอากับจำเลยต่อไป กรณีไม่จำต้องไต่สวนคำร้องของจำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share