แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอหย่าจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สิน คดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในสินสมรส ประเด็นของคดีนี้จึงมีว่า ทรัพย์ตามคำฟ้องเป็นสินสมรสหรือไม่และโจทก์มีสิทธิขอให้ลงชื่อเป็นเจ้าของรวมหรือไม่ อันมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วในคำพิพากษาคดีก่อน จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 สิทธิของสามีหรือภริยาที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1475 นั้น กฎหมายกำหนดให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องปฏิบัติตามคำร้องขอของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งไม่มีชื่อในเอกสารสำคัญให้ต้องยินยอมให้ฝ่ายนั้นลงชื่อตนเป็นเจ้าของร่วมด้วย โจทก์ได้มีหนังสือขอให้จำเลยจัดการให้โจทก์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่อ้างว่าเป็นสินสมรสจำเลยเพิกเฉย เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่มีตามกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ โจทก์จำเลยได้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาระหว่างสมรสและได้มาขณะที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม การที่จะพิจารณาว่าเป็นทรัพย์สินประเภทใดในระหว่างสามีภริยาจึงต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้ในขณะที่ได้มา การรับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาเป็นของจำเลยมิได้ระบุไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัวหรือสินเดิม จึงเป็นการได้มาในฐานะที่เป็นสินสมรสตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 1466 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม สิทธิของคู่สมรสที่จะร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในเอกสารสำคัญตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1475 ย่อมมีอยู่ตลอดเวลาเท่าที่ยังเป็นสามีภริยากันไม่ว่าจะช้านานเท่าใด เมื่อโจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่ โจทก์ย่อมจะใช้สิทธิขอให้ลงชื่อตนด้วยได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าได้ล่วงเลยเวลาที่ได้สินสมรสมาแล้วนานเท่าไร เพราะมิใช่กรณีที่จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาอันกฎหมายกำหนดไว้ จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยและโจทก์เป็นสามีภริยากัน โดยทำการสมรสก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และอยู่กินฉันสามีภริยาตลอดมา ทรัพย์สินระหว่างโจทก์จำเลยที่คงเหลืออยู่ปัจจุบันมีที่ดินโฉนดเลขที่ 76774 มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และที่ดินโฉนดเลขที่ 4786 มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับนางทองปลิว ศิริสัมพันธ์ ที่ดินโฉนดเลขที่ 76774 เป็นโฉนดที่ดินใหม่ซึ่งแบ่งแยกจากโฉนด เลขที่ 1464 จำเลยได้รับจดทะเบียนการให้เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2489 จากนายคล้าย เสือประดิษฐ นางแช่ม คงปรางและนางย้อย อยู่อาสา ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 4786 จำเลยได้รับจดทะเบียนโอนทางมรดกจากนางเป๊ะ ดิษธรรม ที่ดินทั้งสองแปลงจึงเป็นสินสมรส โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือแจ้งความประสงค์ขอให้โจทก์ลงชื่อเป็นเจ้าของร่วมกับจำเลย แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในที่ดินทั้งสองแปลง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยและโจทก์ต่างได้รับการยกให้ที่ดินจากบิดามารดาของแต่ละฝ่าย และต่างใช้สิทธิจัดการที่ดินโดยมิได้ก้าวก่ายกัน ภายหลังโจทก์ขายที่ดินของตนซึ่งได้รับการยกให้มาทั้งหมดส่วนที่ดินของจำเลย จำเลยได้แบ่งขายบางส่วน ต่อมาทนายความของนางสาวประชุมบุตรโจทก์จำเลยได้ยื่นฟ้องจำเลยในนามของโจทก์เพื่อขอหย่าและขอให้แบ่งทรัพย์สินที่ดินรายนี้ โดยมีนางสาวประชุมเป็นผู้ดำเนินการศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ต่อมาทนายความคนเดียวกันได้ยื่นฟ้องในนามของโจทก์เพื่อขอให้ใส่ชื่อโจทก์ลงในที่ดินซึ่งจำเลยฟ้องขับไล่นางสาวประชุมโดยมุ่งหมายในประเด็นเดียวกันกับคดีฟ้องหย่า จึงเป็นฟ้องซ้ำ ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจำเลยได้รับการยกให้จากบิดามารดาของจำเลยจึงเป็นสินเดิมของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิมและกลายมาเป็นสินส่วนตัวของจำเลย โดยผลของมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่พุทธศักราช 2519 โจทก์หามีสิทธิจะมาขอให้ใส่ชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลย ทั้งสิทธิของโจทก์ขาดอายุความแล้ว โจทก์อยู่อาศัยในที่ดินพิพาทโดยปกติสุข มิได้ถูกรบกวนหรือโต้แย้งสิทธิแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมลงในโฉนดที่ดินเลขที่ 76774 และโฉนดที่ดินเลขที่ 4786 หากจำเลยไม่จัดการ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำแถลงของโจทก์จำเลยว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจำเลยได้มาระหว่างสมรสกับโจทก์ที่ดินแปลงแรกจำเลยได้มาโดยการรับให้ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2489ที่ดินแปลงที่สองจำเลยรับโอนทางมรดกจากนางเป๊ะ ดิษธรรมซึ่งเป็นมารดาของจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เมื่อวันที่ 12มีนาคม 2496 การรับโอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวมิได้ระบุชัดแจ้งว่าให้แก่จำเลยเพื่อเป็นสินสมรส หรือสินส่วนตัว หรือสินเดิมทั้งโจทก์เคยฟ้องขอหย่าจำเลยต่อศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยยังมิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินแต่อย่างใด ปัจจุบันจำเลยและโจทก์ยังคงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยฎีกาในข้อ 2 ว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ ได้ความตามคำแถลงรับของโจทก์จำเลยว่า คดีก่อนนั้นโจทก์ฟ้องขอหย่าจำเลยและศาลมีคำพิพากษายกฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินแต่อย่างใด ในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของร่วมในสินสมรส ประเด็นของคดีนี้จึงมีว่าทรัพย์ตามคำฟ้องเป็นสินสมรสหรือไม่และโจทก์มีสิทธิขอให้ลงชื่อเป็นเจ้าของรวมหรือไม่ อันมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วในคำพิพากษาคดีก่อนการฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาในข้อ 3 ว่า โจทก์มิได้ถูกโต้แย้งสิทธิจึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่าสิทธิของสามีหรือภริยาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1475 นั้นเป็นการที่กฎหมายกำหนดให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องปฏิบัติตามคำร้องขอของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งไม่มีชื่อในเอกสารสำคัญให้ต้องยินยอมให้ฝ่ายนั้นลงชื่อตนเป็นเจ้าของร่วมด้วย โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องแล้วว่าได้มีหนังสือขอให้จำเลยจัดการให้โจทก์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่อ้างว่าเป็นสินสมรสจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่ามิได้รับหนังสือดังกล่าวของโจทก์ กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยทราบคำบอกกล่าวของโจทก์แล้วเพิกเฉย อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่มีตามกฎหมายโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อ 4 ว่า ที่ดินพิพาทมิใช่สินสมรส โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงได้มาระหว่างสมรสและได้มาขณะที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม การที่จะพิจารณาว่าเป็นทรัพย์สินประเภทใดในระหว่างสามีภริยาจึงต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้ในขณะที่ได้มา การรับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาเป็นของจำเลยนั้นมิได้ระบุไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัวหรือสินเดิม ดังนั้นการได้ที่ดินที่พิพาททั้งสองแปลงของจำเลยจึงเป็นการได้มาในฐานะที่เป็นสินสมรสตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 1466 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะที่ได้มา ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาในข้อ 5 ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ทราบว่าจำเลยได้รับโอนที่ดินพิพาทมาเป็นเวลา 37 ปีแล้ว เห็นว่าสิทธิของคู่สมรสที่จะร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในเอกสารสำคัญตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1475 นั้นเป็นบทบัญญัติในหมวดทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา แสดงให้เห็นว่าตราบใดที่ความเป็นสามีภริยายังมีอยู่คู่สมรสก็ยังมีสิทธิตามที่กำหนดไว้ในมาตรานี้ตลอดเวลาไม่ว่าจะช้านานเท่าใด ในเมื่อโจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่เช่นนี้ก็เป็นกรณีที่โจทก์จะใช้สิทธิร้องขอให้ลงชื่อตนด้วยได้ตามที่กฎหมายกำหนด โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าได้ล่วงเลยเวลาที่ได้สินสมรสมาแล้วนานเท่าไร เพราะมิใช่กรณีที่จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาอันกฎหมายกำหนดไว้คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามที่จำเลยฎีกามา ฎีกาของจำเลยข้อนี้คงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน