คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2012/2542

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลสอบถามข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดชี้สองสถาน งดสืบพยานโจทก์จำเลยและให้นัดฟังคำพิพากษา เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก่อนศาลนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) และมิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24 เพราะศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ได้ความจากการสอบถามโจทก์จำเลยเมื่อนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นเวลา 1 เดือนเศษ โจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้แต่โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 11,838,500 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยค่าเสียหายร้อยละ 2 ต่อเดือน ในต้นเงิน 200,000 บาท และค่าเสียหายร้อยละ 19.5 ต่อปี ในต้นเงิน 300,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 10,500,000บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า สัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีผลใช้บังคับหากศาลฟังว่าสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลใช้บังคับตามกฎหมายจำเลยก็มิได้ผิดสัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหาย หากมีก็ไม่ควรเกินสัญญา ขอให้ยกฟ้อง

ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยานต่อไป จึงให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ขอให้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นชี้สองสถานและสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วนัดฟังคำพิพากษา เป็นคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามมาตรา 24 โจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ตามมาตรา 227, 228 และมาตรา 247 นั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 บัญญัติเป็นใจความว่าก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลได้มีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228 ถ้าคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งใดไว้ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เห็นว่า คดีนี้ในวันชี้สองสถานวันที่ 5 กันยายน 2538 ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลย ศาลได้สอบถามข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วและนัดฟังคำพิพากษา เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก่อนศาลนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226(2) และมิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24 เพราะที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความคดีนี้ที่โจทก์จำเลยทำขึ้นเพื่อระงับหนี้ตามเช็คที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คดังกล่าวไม่มีมูลหนี้ที่จะบังคับกันได้ตามกฎหมายจึงไม่ก่อให้เกิดหนี้ที่จะให้จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทตามเช็คแต่อย่างใด โจทก์จะอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมาฟ้องเรียกร้องให้จำเลยรับผิดหาได้ไม่นั้น เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ได้ความจากการสอบถามโจทก์จำเลยมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายที่พิพาทกันในคดีแต่อย่างใดดังนั้น เมื่อนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2538 เป็นเวลา 1 เดือนเศษ โจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้แต่มิได้โต้แย้ง โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2)”

พิพากษายืน

Share