คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2012/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยทั้งสองในการขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวยังคงเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งโจทก์มีความผูกพันที่จะต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาแทนตามสัญญาค้ำประกัน แม้โจทก์ชำระหนี้แทนไปแล้ว โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดแก้โจทก์ในคดีอื่น จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับ โจทก์ได้เข้าค้ำประกันต่อศาล ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 พิพากษายืน คดีถึงที่สุด โจทก์ในคดีนั้นบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 2 ไม่ได้โจทก์จึงต้องชำระหนี้แทน จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์

ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องแล้วเห็นว่า เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และคดีถึงที่สุด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์ จึงมีคำสั่งยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 คงให้รับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2

โจทก์อุทธรณ์คำสั่งสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้นนั้น เป็นการค้ำประกันหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จะต้องชำระ ต่อมาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และคดีถึงที่สุด โดยผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จำเลยที่ 1 จึงหลุดพ้นจากลูกหนี้ตามคำพิพากษา ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 อีกต่อไป จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวคงยังเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งโจทก์มีความผูกพันที่จะต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาแทนตามสัญญาค้ำประกัน ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ได้

พิพากษายืน

Share