คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เสมียนวิสามัญในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีหน้าที่เก็บเงินค่าเช่าแผงลอยหาบเร่ส่งต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นเจ้าพนักงานท่านใช้ให้มีหน้าที่เก็บทรัพย์อันต้องส่งต่อรัฐบาลเมื่อไปเรียกเก็บแป๊ะเจี๊ยะ จึงได้ชื่อว่าเรียกเก็บเงินหรือทรัพย์ที่ไม่ควรจะเก็บตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 135
ความผิดตามมาตรา 136 นั้นเจ้าพนักงานผู้กระทำผิดจะต้องใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของตนเองและต้องบังคับให้เขาให้ หรือให้เขาหาทรัพย์หรือผลประโยชน์อย่างใดๆ อันมิควรจะได้ตามกฎหมาย ให้แก่ตัวมันเองหรือแก่ผู้อื่น การบังคับให้เขาให้ทรัพย์ โดยอ้างว่าผู้อื่นให้มาเอาเป็นการอาศัยอำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของผู้อื่น ไม่ใช่ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง ทั้งเงินที่เรียกเอานั้นก็อ้างว่าจะไปส่งต่อองค์การรัฐบาล ไม่ใช่ตัวเอาเองหรือให้แก่ผู้อื่นดังนี้ยังไม่เป็นผิดตามมาตรา 136 ฎีกาโจทก์กล่าววันในฟ้องและจำนวนเงินผิดเพราะการพลั้งเผลอยังไม่พอจะเป็นเหตุให้ยกฎีกาโจทก์ ศาลต้องถือเอาฟ้องเดิมของโจทก์เป็นประมาณ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับราชการเป็นเสมียนวิสามัญในสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ประจำจังหวัดนครปฐมมีหน้าที่เก็บเงินค่าเช่าแผงลอยหาบเร่ และค่าเช่าเบ็ดเตล็ดส่งต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำเลยได้บังอาจใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทางอันมิชอบไปบังคับเรียกเก็บเงินแป๊ะเจี๊ยะอันเป็นเงินที่ไม่ควรจะเก็บ และมิควรจะได้ตามกฎหมายจากนางกุ้ยฮวย แซ่ลิ้มหลายคราวรวมเป็นเงิน 100 บาทมาให้แก่จำเลยเอง และจำเลยมิได้นำส่งต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญามาตรา 135, 136

ศาลจังหวัดนครปฐมสืบพยานโจทก์ได้ 3 ปากแล้วสั่งงดสืบพยานพิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีหน้าที่เก็บค่าเช่าคือท่านใช้ให้มีหน้าที่เก็บทรัพย์อันต้องส่งต่อรัฐบาลการที่จำเลยไปเรียกแป๊ะเจี๊ยะ จึงได้ชื่อว่าจำเลยเรียกเก็บเงินหรือทรัพย์ที่ไม่ควรจะเก็บตามมาตรา 135 ส่วนที่จะเป็นผิดตามมาตรา 136 นั้นเจ้าพนักงานผู้กระทำผิดจำต้องใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของตนเองและต้องบังคับให้เขาให้ ฯลฯ มาให้แก่ตัวมันเองหรือผู้อื่น การที่จำเลยพูดกับนางกุ้ยฮวยว่า “ไม่เสีย (เงินแป๊ะเจี๊ยะ) ก็ตามใจจะเรียกร้านคืน” นั้น เห็นว่าเป็นการบังคับ แต่คำที่จำเลยกล่าวก่อนว่า”ท่านขุน (หมายถึงขุนเกษตรพิหารแดง) ให้มาเอาแป๊ะเจี๊ยะ 100 บาท” แสดงชัดว่าจำเลยอาศัยอำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของขุนเกษตรพิหารแดงไม่ใช่ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยเอง ทั้งคำที่ว่า “(จำเลย) จะออก (เงินแป๊ะเจี๊ยะ) แทนให้ไปก่อน 100 บาท” ก็แสดงว่าจำเลยจะนำเงินไปให้แก่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จังหวัดนครปฐมไม่ใช่จำเลยเอาเองหรือให้ผู้อื่น จึงพิพากษากลับให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้ง 2 เสีย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ

Share