คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่เจ้าอาวาสลงชื่อในสัญญาเช่าหมาย ล.5 โดยเจตนาจะถือเป็นแต่เพียงร่างสัญญาโดยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการวัดก่อนอีกทีหนึ่ง ไม่มีความประสงค์จะให้เป็นสัญญาอันแท้จริง สัญญาเช่าดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์จำเลยอย่างใด ที่จำเลยอ้างว่าเข้าอยู่โดยอาศัยสิทธิการเช่าตามสัญญาหมาย ล.5จึงฟังไม่ได้ เป็นแต่เพียงอาศัยเท่านั้น เมื่อเป็นการอาศัยจำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้จดทะเบียนการเช่าและภาระจำยอมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312
การที่โจทก์ฟ้องจำเลย จำเลยฟ้องแย้งโจทก์ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งนั้นเป็นคดีเดียวกันทั้งนั้น ทนายโจทก์ที่ได้รับแต่งตั้งไว้แล้วมีสิทธิทำคำให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยได้ ไม่จำเป็นต้องมีการแต่งตั้งทนายใหม่อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยหลายประการข้อที่สำคัญคือ จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินโจทก์ไปพลางก่อนแล้วจะทำหนังสือสัญญาเช่าภายหลัง ต่อมาโจทก์จำเลยไม่ตกลงในเรื่องเงื่อนไขในสัญญา โดยจำเลยร่างสัญญาเอาเปรียบโจทก์ โจทก์ไม่ยอมลงชื่อในสัญญา จึงฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายข้อที่ทำให้วัดขาดประโยชน์ 20,000 บาท กับค่าเช่าเดือนละ 500 บาท

จำเลยให้การและฟ้องแย้งหลายประการ อ้างว่าจำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าหมายล.5 ซึ่งโจทก์จำเลยได้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐานจำเลยเข้าไปปลูกสร้างอาคารต่าง ๆ ในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต แม้จะถือว่าสัญญาเช่าดังกล่าวไม่มีผลผูกพันจำเลยก็ได้เข้ามาอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต โจทก์ตกอยู่ในภาระจำยอมที่จะต้องให้จำเลยอยู่ในที่ดินรายนี้ไปจนกว่าสิ่งปลูกสร้างของจำเลยจะสลาย ขอให้ศาลสั่งให้โจทก์จดทะเบียนการเช่าและนิติกรรมการเช่า ถ้าสัญญาเช่าไม่ผูกพันขอให้ศาลสั่งจดทะเบียนภาระจำยอม

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งหลายประการ

ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกจากที่พิพาท ฯลฯ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหลายประการ

ศาลฎีกาเห็นว่าสาระสำคัญที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้อยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสัญญาหมาย ล.5 ที่นายอารี ไวยยาวัจจกรเซ็นมอบให้แก่จำเลยด้วยการเห็นชอบของพระมหาจี่เจ้าอาวาส แต่สัญญาฉบับนี้แม้นายอารีและพระมหาจี่จะได้เซ็นให้จริง ฝ่ายโจทก์อ้างว่าเป็นเพียงร่างโดยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการวัดก่อนสัญญาหมาย ล.5 นี้พระมหาจี่ได้แจ้งให้จำเลยทราบว่า จะต้องให้คณะกรรมการวัดทราบด้วยแต่จำเลยปฏิเสธ

ปรากฏว่าสัญญาหมาย ล.5 นี้มีข้อความเหมือนกับหมาย จ.5สัญญาหมาย ล.5 นี้เป็นเอกสารสำคัญระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งอย่างน้อยควรรักษาไว้ฝ่ายละฉบับ การที่มีแต่หมาย ล.5 จึงส่อให้เห็นว่าพระมหาจี่ไม่ประสงค์จะให้เป็นสัญญา เป็นแต่เพียงร่างไว้เพื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการวัดอีกทีหนึ่ง ฉะนั้นโจทก์จำเลยจึงได้เซ็นกันไว้ฉบับเดียวไม่ได้เซ็นหมาย จ.5 ด้วย ศาลฎีกาเชื่อว่าความจริงเป็นดังที่พระมหาจี่เบิกความ คือหมาย ล.5 เป็นแต่ร่างที่พระมหาจี่เห็นชอบด้วยเท่านั้น ไม่มีความประสงคืจะให้เป็นสัญญาอันแท้จริง และเห็นว่าแม้จะถือหมาย ล.5 เป็นสัญญาอันแท้จริง แต่เมื่อจำเลยได้เข้าประชุมพร้อมกับคณะกรรมการวัด ทั้ง 2 ฝ่ายได้ยกเลิกสัญญาหมาย ล.5 แล้ว โดยให้จำเลยเป็นผู้ไปร่างมาใหม่ ฉะนั้นสัญญาหมาย ล.5 จึงไม่ผูกพันโจทก์จำเลยแต่อย่างใด จำเลยมิได้เข้าไปอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสัญญาหมาย ล.5 เมื่อเป็นการอาศัยก็ไม่เกิดภาระจำยอม จำเลยจะขอบังคับโจทก์จดทะเบียนการเช่าและภาระจำยอมไม่ได้

เมื่อฟังว่าจำเลยเข้าอยู่อาศัยโจทก์ ไม่ได้เข้าอยู่โดยสิทธิการเช่าตามสัญญาหมาย ล.5 ฎีกาของจำเลยข้ออื่น ๆ เกี่ยวกับค่าเสียหายและข้ออ้างที่ว่าโจทก์ผิดสัญญาข้อตกลงต่าง ๆ จึงเป็นอันตกไปไม่จำต้องวินิจฉัย

ที่เกี่ยวกับอำนาจฟ้องนั้นเห็นว่า เรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยก็ดีเรื่องที่จำเลยฟ้องแย้งโจทก์และโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยก็ดีเป็นคดีเดียวกันทั้งสิ้นและใบแต่งทนายความ นายอารีได้มอบอำนาจให้ทนายโจทก์เป็นทนายในคดีเรื่องนี้ ฉะนั้น ทนายโจทก์จึงมีสิทธิทำคำให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยได้

พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ฯลฯ

Share