คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2007/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอถอนส. ทนายความโจทก์ร่วมและศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้วดังนั้นเมื่อฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมลงชื่อส. เป็นผู้ฎีกาซึ่งเป็นเพียงทนายความโจทก์เพียงผู้เดียวจึงต้องถือว่าโจทก์ร่วมไม่ได้ฎีกาด้วย ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา57เมื่อโจทก์ผู้เป็นคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียไม่พอใจคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดที่เห็นชอบตามคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลว่าโจทก์หมดสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนโจทก์ก็ยังมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลโดยฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดกับให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนได้แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดดังกล่าวต้องฟ้องคชก.จังหวัดเป็นจำเลยด้วยทั้งนี้เพื่อให้คชก.จังหวัดได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของโจทก์การที่โจทก์ไม่ฟ้องคชก.จังหวัดคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดก็ยังไม่ถูกเพิกถอนและมีผลบังคับอยู่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องผู้รับโอนนาพิพาทขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดและให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนโดยลำพังได้แต่การยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยเนื้อหาในประเด็นข้อพิพาทว่ามีอยู่จริงหรือไม่จึงสมควรไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 782 ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอสามโคกจังหวัดปทุมธานี เนื้อที่ 49 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา เมื่อปี 2519โจทก์เช่าที่ดินแปลงดังกล่าวทำนาและชำระค่าเช่าให้แก่จำเลยที่ 1และที่ 2 ตลอดมา ครั้นประมาณกลางเดือนเมษายน 2533 โจทก์ทราบว่าเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2532 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้โอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ในราคา 1,500,000 บาทต่อมาในปีเดียวกันจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ได้โอนขายต่อให้แก่จำเลยที่ 7 ถึงที่ 13 การซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าวจำเลยที่ 1และที่ 2 ไม่เคยแจ้งเป็นหนังสือต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเชียงรากน้อยเพื่อแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจะขายที่ดินที่โจทก์เช่าทำนา พร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงิน ถือว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โจทก์ได้มีหนังสือถึงประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเชียงรากน้อยขอซื้อที่ดินจากผู้รับโอน คณะกรรมการดังกล่าววินิจฉัยว่าโจทก์ขอซื้อที่ดินภายหลังเมื่อพ้นระยะเวลา 2 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการที่ผู้ให้เช่าโอนนา จึงหมดสิทธิที่จะซื้อที่ดินจากผู้รับโอน โจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดปทุมธานี ต่อมาคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดปทุมธานีได้มีคำวินิจฉัยเช่นเดียวกับคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเชียงรากน้อย โจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยดังกล่าว เพราะโจทก์ได้มีหนังสือขอซื้อนาต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเชียงรากน้อยภายในกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่โจทก์ทราบถึงการที่ผู้ให้เช่าโอนนาแล้ว ขอให้พิพากษากลับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเชียงรากน้อยและคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลปทุมธานีและให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 782 ตำบลเชียงรากน้อยอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานีให้เพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 และระหว่างจำเลยที่ 3ถึงที่ 6 กับจำเลยที่ 7 ถึงที่ 13 ให้จำเลยที่ 7 ถึงที่ 13โอนขายที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ และรับเงินค่าที่ดินราคา 1,500,000บาทจากโจทก์ หากจำเลยที่ 7 ถึงที่ 13 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 7 ถึงที่ 13
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำบอกกล่าวขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1ถึงที่ 6 ศาลชั้นต้นอนุญาต และจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6จากสารบบความ
จำเลยที่ 7 ถึงที่ 13 ให้การว่า จำเลยที่ 7 ถึงที่ 13เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 782 ตำบลเชียงรากน้อยอำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี โดยได้แลกเปลี่ยนที่ดินจากจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 แต่ได้จดทะเบียนนิติกรรมเป็นการซื้อขายโจทก์ทำนาในฐานะผู้อาศัย มิใช่ผู้เช่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหรือประจำจังหวัดเพราะไม่ได้ฟ้องคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเชียงรากน้อย และคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดปทุมธานีเป็นจำเลยด้วยเพื่อให้คณะกรรมการดังกล่าวได้มีโอกาสในการต่อสู้คดีได้ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นายเสริม อ่างบัว ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์อ้างว่าเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาททำนาร่วมกับโจทก์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ และ โจทก์ร่วม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ และ โจทก์ร่วม ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอถอนนายสุนทร ธรรมรัตน์ ทนายความโจทก์ร่วมเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม2536 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ดังนั้น เมื่อฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมลงชื่อนายสุนทรเป็นผู้ฎีกาซึ่งเป็นเพียงทนายความโจทก์เพียงผู้เดียว จึงต้องถือว่าโจทก์ร่วมไม่ได้ฎีกาด้วย คดีจึงมีปัญหาวินิจฉัยเฉพาะคดีของโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อปี 2519 โจทก์เช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 782 ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานีเนื้อที่ 49 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำนาต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 6และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ได้ขายต่อให้จำเลยที่ 7 ถึงที่ 13โจทก์อ้างว่าผู้ให้เช่านาขายนาโดยไม่แจ้งให้ผู้เช่านาทราบโจทก์จึงร้องขอต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเชียงรากน้อย (คชก.ตำบลเชียงรากน้อย) ขอซื้อนาพิพาทจากจำเลยที่ 7 ถึงที่ 13 ผู้รับโอน คชก.ตำบลเชียงรากน้อยพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์หมดสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนเพราะไม่ขอซื้อจากผู้รับโอนเสียภายในกำหนดเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ผู้เช่านารู้หรือควรรู้ถึงการโอนนาพิพาท โจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลเชียงรากน้อยต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดปทุมธานี (คชก.จังหวัดปทุมธานี)คชก.จังหวัดปทุมธานีพิจารณาแล้ววินิจฉัยยืนตามคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลเชียงรากน้อย โจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดปทุมธานี จึงอุทธรณ์ต่อศาลโดยฟ้องจำเลยที่ 7 ถึงที่ 13ผู้รับโอน ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดปทุมธานีและให้โจทก์มีสิทธิขอซื้อนาพิพาทจากจำเลยที่ 7 ถึงที่ 13ผู้รับโอนมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวโจทก์ฎีกาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 7ถึงที่ 13 ซึ่งเป็นผู้รับโอนนาพิพาทขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดปทุมธานี และให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนโดยไม่ต้องฟ้อง คชก.จังหวัดปทุมธานีเป็นจำเลยด้วยนั้น เห็นว่าตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 57บัญญัติว่า “คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด แต่จะต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่ คชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัย” ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อโจทก์ผู้เป็นคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดปทุมธานีที่เห็นชอบตามคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลเชียงรากน้อยว่าโจทก์หมดสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนโจทก์ก็ยังมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาล โดยฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดปทุมธานี กับให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนได้ แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดปทุมธานีดังกล่าวต้องฟ้อง คชก.จังหวัดปทุมธานีเป็นจำเลยด้วยทั้งนี้เพื่อให้ คชก.จังหวัดปทุมธานีได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจ้งเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของโจทก์การที่โจทก์ไม่ฟ้อง คชก.จังหวัดปทุมธานีขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดปทุมธานี คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดปทุมธานีก็ยังไม่ถูกเพิกถอน และมีผลบังคับอยู่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 7 ถึงที่ 13 ซึ่งเป็นผู้รับโอนนาพิพาท ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดปทุมธานี และให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนโดยลำพังได้ แต่การยกฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นการยกฟ้องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยเนื้อหาในประเด็นข้อพิพาทว่ามีอยู่จริงหรือไม่ จึงสมควรไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่
พิพากษายืน ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา

Share