คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20053/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประธานศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ศาลแพ่งจึงมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2550 แม้จะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลแพ่งด้วยก็ตาม แต่เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางยังมิได้มีคำสั่งรับโอนคดี ถือว่าคดีอยู่ระหว่างการโอนจึงยังไม่เสร็จเด็ดขาดไปจากศาลแพ่ง และคำสั่งให้โอนคดีของศาลแพ่งถือไม่ได้ว่าเป็นคำสั่งไม่รับหรือคืนคำฟ้อง แต่เมื่อศาลแพ่งมีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความศาลแพ่งและให้โจทก์ไปดำเนินคดีที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2550 ทำให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปจากศาลแพ่ง มีผลเท่ากับเป็นคำสั่งไม่รับหรือคืนคำฟ้องเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลแพ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคสอง โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2550 ยังไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2550 ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 1,904,526.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,558,375.32 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2547 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 2 ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี กับให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นผู้ส่งออกสินค้าถั่วแระแช่แข็งไปยังประเทศญี่ปุ่น โจทก์จ้างจำเลยที่ 1 ให้ติดต่อเรือขนสินค้าของโจทก์ไปยังประเทศญี่ปุ่น และจำเลยที่ 1 ติดต่อจำเลยที่ 2 ให้เป็นผู้รับขนส่งโดยจำเลยที่ 2 เตรียมตู้คอนเทนเนอร์ไว้บรรจุสินค้าของโจทก์ และโจทก์จ้างจำเลยที่ 3 นำรถยนต์บรรทุกหัวลากทำการลากจูงตู้คอนเทนเนอร์ของจำเลยที่ 2 ไปบรรจุสินค้าของโจทก์ที่จังหวัดเชียงใหม่แล้วลากจูงไปยังท่าเรือกรุงเทพเพื่อขนลงเรือส่งไปประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้โจทก์กำหนดอุณหภูมิตู้คอนเทนเนอร์ระหว่างขนส่งไว้เท่ากับ -25 องศาเซลเซียส ขณะจำเลยที่ 3 ขนส่งสินค้าถึงท่าเรือกรุงเทพปรากฏว่าตู้คอนเทนเนอร์มีอุณภูมิสูงขึ้นเป็น -4 ถึง -5 องศาเซลเซียส เกินกว่าที่โจทก์กำหนด เมื่อตรวจสอบพบว่า ตู้คอนเทนเนอร์ของจำเลยที่ 2 มีรอยรั่ว 2 จุด โดยมีน้ำแข็งเกาะเป็นทางลงมาตามขอบผนังตู้และอุดตันในร่องที่พื้นตู้ ตู้มีสภาพไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะทำความเย็นได้ตามที่กำหนดเป็นเหตุให้สินค้าเสียหาย โจทก์จึงระงับการส่งออกแล้วรับซื้อซากสินค้าดังกล่าวไว้ จำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าของตู้คอนเทนเนอร์ต้องรับผิดในความเสียหายของสินค้า
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 เสียก่อนว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันและไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า เกี่ยวกับคดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ต่อศาลแพ่ง ประธานศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ศาลแพ่งจึงสั่งโอนคดีไปยังศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลแพ่งเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2550 แต่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่รับโอนคดีและคืนสำนวนไปยังศาลแพ่ง ต่อมาวันที่ 14 พฤษภาคม 2550 ศาลแพ่งมีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความศาลแพ่งและให้โจทก์ไปดำเนินคดีที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เห็นว่า การที่ศาลแพ่งมีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางแม้จะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความศาลแพ่งด้วยก็ตาม แต่เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางยังมิได้มีคำสั่งรับโอนคดี ถือว่าคดีอยู่ระหว่างการโอนจึงยังไม่เสร็จเด็ดขาดไปจากศาลแพ่ง และคำสั่งให้โอนคดีของศาลแพ่งดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นคำสั่งไม่รับหรือคืนคำฟ้อง แต่เมื่อศาลแพ่งมีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความศาลแพ่งและให้โจทก์ไปดำเนินคดีที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2550 ทำให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปจากศาลแพ่ง มีผลเท่ากับเป็นคำสั่งไม่รับหรือคืนคำฟ้องเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลแพ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 วรรคสอง โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2550 ยังไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2550 ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 1,449,711.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2547 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง

Share