คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2004/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การของจำเลยทั้งสองที่ว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือกู้เงิน และจำเลยที่ 2 ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องจริง แต่จำเลยที่ 1 ได้รับเงินจากโจทก์เพียง 10,000 บาท เหตุที่จำนวนเงินในหนังสือสัญญาเป็น 16,000 บาท เพราะโจทก์นำดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไปรวมเข้าด้วยนั้น เป็นการกล่าวอ้างว่าหนี้ตามสัญญาบางส่วนไม่สมบูรณ์ มิใช่เป็นเรื่องที่กล่าวอ้างว่าสัญญาปลอม จำเลยทั้งสองจึงมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงที่ตนกล่าวอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 เมื่อคู่ความต่างไม่สืบพยาน จำเลยทั้งสองต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป ๑๖,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ ค้างชำระอยู่ ๘,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยที่ ๑ ชำระถ้าไม่ชำระขอให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงิน และจำเลยที่ ๒ ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันตามเอกสารท้ายฟ้องจริง แต่จำเลยที่ ๑ รับเงินเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท เหตุที่จำนวนเงินในหนังสือสัญญาเป็น ๑๖,๐๐๐ บาท เพราะโจทก์บวกดอกเบี้ยร้อยละ ๑๐ ต่อเดือนเข้าไปด้วย จำเลยชำระเงินแล้ว ๘,๐๐๐ บาท จึงต้องชำระอีก ๒,๐๐๐ บาท
โจทก์จำเลยแถลงไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระต้นเงิน ๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระให้จำเลยที่ ๒ ใช้แทน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่าคำให้การของจำเลยทั้งสองที่ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินและจำเลยที่ ๒ ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องจริง แต่จำเลยที่ ๑ ได้รับเงินจากโจทก์เพียง ๑๐,๐๐๐ บาท เหตุที่จำนวนเงินในหนังสือสัญญาเป็น ๑๖,๐๐๐ บาท เพราะโจทก์นำดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจำนวน ๖,๐๐๐ บาท ไปรวมเข้าด้วยนั้น เป็นการกล่าวอ้างว่าหนี้ตามสัญญาบางส่วนไม่สมบูรณ์เนื่องจากโจทก์นำดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไปรวมเข้าเป็นเงินต้นมิใช่เป็นเรื่องที่กล่าวอ้างว่าสัญญาปลอม จำเลยทั้งสองจึงมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงที่ตนกล่าวอ้าง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๔ เมื่อคู่ความต่างไม่สืบพยาน จำเลยทั้งสองต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๔/๒๔๙๗ ที่จำเลยทั้งสองอ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share