แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ได้เสียเป็นสามีภริยากันก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 และบรรพ 6 ความเป็นสามีภริยาและบุตรต้องบังคับตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น เมื่อได้ความว่าชายหญิงได้อยู่กินเป็นสามีภริยาโดยเปิดเผยเป็นที่รู้กันทั่ว ๆ ไปว่าเป็นสามีภริยากัน ก็ถือได้ว่าเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย บุตรที่เกิดมาจึงเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของสามี ย่อมมีสิทธิรับมรดกของสามี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เจ้ามรดกเป็นบิดาโจทก์ มีภริยา ๒ คน โจทก์เป็นบุตรของภริยาคนหนึ่ง จึงขอแบ่งที่ดินมรดกให้โจทก์ ๑ ส่วน ใน ๗ ส่วน
จำเลยให้การว่า มารดาโจทก์ไม่ได้เป็นภริยาของเจ้าของมรดก โจทก์ไม่ใช่บุตรชอบด้วยกฎหมายและไม่ใช่ผู้สืบสันดานของเจ้ามรดก
ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์เป็นบุตรนอกสมรสของเจ้ามรดกซึ่งเจ้ามรดกได้รับรองว่าโจทก์เป็นบุตร พิพากษาให้แบ่งที่ดินมรดกให้โจทก์ ๑ ส่วนใน ๗ ส่วน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า เจ้ามรดกกับมารดาโจทก์ได้เสียเป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งบรรพ ๕ และบรรพ ๖ ต้องบังคับตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย โจทก์จึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดก มีสิทธิรับมรดก พิพากษายืนตามผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า เจ้ามรดกกับมารดาโจทก์ได้เสียเป็นสามีภริยากันก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งบรรพ ๕ และบรรพ ๖ ความเป็นสามีภริยาและบุตรต้องบังคับตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย ซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้น เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าเจ้ามรดกกับมารดาโจทก์ได้อยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยเปิดเผยเป็นที่รู้กันทั่ว ๆ ไปว่าเป็นสามีภริยา ก็ถือได้ว่าเจ้ามรดกกับมารดาโจทก์เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายลักษณะผัวเมีย โจทก์ซึ่งเป็นบุตรของเจ้ามรดกเกิดกับมารดาโจทก์ จึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดก ย่อมมีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดก
พิพากษายืน.