แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากัน. จำเลยที่ 2 เป็นบุตรโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ช่วยเหลือดูแลทรัพย์สินของโจทก์และจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไปเฝ้าสวนของโจทก์และจำเลยที่ 1 ถูกคนร้ายยิงจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและตัดลำไส้ ในตอนหลังโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีเรื่องจนต้องแยกกันอยู่ จำเลยที่ 1 ได้จำเลยที่ 2 ผู้เดียวเป็นผู้ปรนนิบัติ นับได้ว่าจำเลยที่ 2มีปฏิการะต่อบิดามารดายิ่งกว่าบุตรคนอื่น การที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินให้จำเลยที่ 2 อันเกิดจากโจทก์โดยเสน่หา ทั้งยกให้เพียงครึ่งหนึ่ง โดยจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสิทธิเก็บกินไว้ตลอดชีวิต อีกครึ่งหนึ่งยังเป็นสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 อยู่ ดังนี้เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 วรรค 2(3)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินทั้งแปลง เมื่อได้ความว่าที่ดินยังเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยเพียงครึ่งหนึ่งก็ชอบที่จะลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในส่วนที่ยังเป็นสินสมรสอยู่นั้นได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ ๑จำเลยที่ ๑ จัดการสินบริคณห์ให้เกิดความเสียหายถึงขนาด จำหน่ายสินบริคณห์โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ ทำนิติกรรมที่สำนักงานที่ดิน โอนที่ดินโฉนดที่ ๖๔๓ ให้จำเลยที่ ๒ โดยเสน่หาขอให้เพิกถอนการยกให้และลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในโฉนดดังกล่าว
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินโฉนดดังกล่าวให้จำเลยที่ ๒ ครึ่งหนึ่งเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการยกให้ ให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในโฉนด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุตรโจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้ช่วยเหลือดูแลทรัพย์สินของโจทก์และจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ไปเฝ้าสวนของโจทก์และจำเลยที่ ๑ถูกคนร้ายยิงจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและตัดลำใส้ตอนหลังนี้โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นสามีภริยากันมีเรื่องจนต้องแยกกันอยู่จำเลยที่ ๑ ก็ได้จำเลยที่ ๒ ผู้เดียวเป็นผู้ปรนนิบัตินับได้ว่าจำเลยที่ ๒ มีปฏิการะต่อบิดามารดายิ่งกว่าบุตรคนอื่นจำเลยที่ ๑ ยกที่ดินให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ ๑อันเกิดกับโจทก์ ทั้งยกให้เพียงครึ่งเดียว โดยจำเลยที่ ๑จดทะเบียนสิทธิเก็บกินไว้ตลอดชีวิต อีกครึ่งหนึ่งยังเป็นสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ อยู่ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี แม้จะไม่ได้รับความยินยอมของโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๗๓ วรรค ๒(๓)
แต่โดยที่โจทก์มีคำขอให้ลงชื่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ ๑ในโฉนดเลขที่ ๖๔๓ ตามฟ้องทั้งแปลง ได้ความว่าที่ดินดังกล่าวยังเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ เพียงครึ่งหนึ่งก็ชอบที่จะลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในส่วนที่เป็นสินสมรสอยู่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๗
พิพากษาแก้ ให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยที่ ๑ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๖๔๓ ตามฟ้องเฉพาะส่วนครึ่งหนึ่งที่ยังเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ อยู่