แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประกาศของจำเลยที่ 1 เรื่องประกวดราคาเช่าสะพานท่าเทียบเรือวางเงื่อนไขไว้ว่า ผู้ยื่นซองจะต้องเป็นนิติบุคคลเท่านั้นคณะกรรมการรับซองของจำเลยที่ 1 ก็รับซองประกวดราคาไว้ว่าเป็นของโจทก์ แม้ใบเสนอการประกวดราคาจะกรอกข้อความว่า “ข้าพเจ้าบังเอียนโลหะคุปต์ ผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงน้ำแข็งเฉลิมพล” ก็เป็นการกรอกข้อความไปตามแบบพิมพ์ บ.ไม่มีสิทธิยื่นซองในฐานะส่วนตัวเพราะขัดกับเงื่อนไขตามประกาศ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าโจทก์เข้ายื่นซองประกวดราคา จำเลยทั้งสามก็ไม่ได้ให้การโต้เถียงว่าเสนอราคาในนามของ บ. เป็นการส่วนตัว แต่กลับยอมรับว่าโจทก์ได้เข้าประกวดราคาและเสนอราคาสูงสุดจริง และจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์เข้าทำสัญญาแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมเข้าทำสัญญาเอง เห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสามต่างก็ยอมรับข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้เสนอราคาไม่เคยโต้แย้งว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสนอราคา นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 10 เดิม และมาตรา 132 เดิมให้ตีความเอกสารตามนัยที่จะทำให้เป็นผลบังคับได้ และให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษรดังนั้นในกรณีนี้จึงต้องถือว่า บ. เสนอราคาในนามของโจทก์ มิใช่เสนอราคาในฐานะส่วนตัว เพราะหากถือว่า บ.เสนอราคาในฐานะส่วนตัวย่อมทำให้การเสนอราคาไร้ผล และขัดกับเจตนาของคู่กรณี การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง ขอให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ จำเลยทั้งสามฎีกา ดังนี้อุทธรณ์ของโจทก์และฎีกาของจำเลยทั้งสามต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงศาลละ 200 บาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีนายบังเอียน โลหะคุปต์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1เป็นนิติบุคคลประเภทสุขาภิบาลมีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายอำเภอแหลมงอบเป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง จำเลยที่ 1 ที่ 2 โดยได้รับความเห็นชอบจากจำเลยที่ 3 ร่วมกันประกาศประกวดราคาเช่าสะพานท่าเทียบเรือสุขาภิบาลแหลมงอบแก่บุคคลทั่วไป โจทก์เข้ายื่นซองประกวดราคาตามประกาศดังกล่าว และเป็นผู้เสนอราคาสูงสุดจึงมีสิทธิเข้าทำสัญญาเช่าท่าเทียบเรือตามประกาศกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 โจทก์ได้ตระเตรียมเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ที่ 2 พร้อมมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำสัญญากับโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็ไม่สามารถให้โจทก์เข้าทำสัญญาได้ โจทก์เพิ่งมาทราบภายหลังว่าจำเลยทั้งสามไม่สามารถจะนำสะพานท่าเทียบเรือสุขาภิบาลแหลมงอบให้โจทก์เช่าได้เพราะจำเลยที่ 1 เช่าสะพานท่าเทียบเรือสุขาภิบาลแหลมงอบมาจากกระทรวงการคลัง โดยกระทรวงการคลังห้ามมิให้มีการเช่าช่วงแต่จำเลยทั้งสามได้ปกปิดไว้โดยเจตนาไม่สุจริต การที่จำเลยทั้งสามนำสะพานท่าเทียบเรือสุขาภิบาลแหลมงอบออกให้โจทก์ประกวดราคาเช่าจึงเป็นการไม่ชอบด้วยสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทำให้นิติกรรมการประกวดราคาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยต้องตกเป็นโมฆะเสียเปล่ามาแต่ต้น การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าประกันซองประกวดราคา และร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ประกาศประกวดราคาเช่าสะพานท่าเทียบเรือสุขาภิบาลแหลมงอบ ปรากฏว่าโจทก์เสนอค่าเช่าเป็นราคาสูงสุด หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้ติดต่อให้โจทก์เข้าทำสัญญาตลอดมา แต่โจทก์เพิกเฉย ค่าเสียหายของโจทก์ไม่เป็นความจริงขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ตามประเด็นแห่งคดี
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่นายบังเอียน โลหะคุปต์ ได้เสนอการประกวดราคาค่าเช่าโดยใช้ข้อความว่า “ข้าพเจ้าบังเอียน โลหะคุปต์ผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงน้ำแข็งเฉลิมพล” มีความหมายว่านายบังเอียนเป็นผู้เสนอราคาเองในฐานะส่วนตัวหรือว่าเสนอราคาในนามของโจทก์ เห็นว่า ตามประกาศของจำเลยที่ 1 เรื่องประกวดราคาเช่าสะพานท่าเทียบเรือ วางเงื่อนไขไว้ว่าผู้ยื่นซองประกวดราคาจะต้องเป็นนิติบุคคลเท่านั้น คณะกรรมการรับซองของจำเลยที่ 1ก็รับซองประกวดราคาไว้ว่าเป็นซองประกวดราคาของโจทก์ แม้ใบเสนอการประกวดราคาจะกรอกข้อความดังกล่าว ก็เห็นได้ว่าเป็นการกรอกข้อความไปตามแบบพิมพ์ของจำเลยที่ 1 นายบังเอียนไม่มีสิทธิยื่นซองในฐานะส่วนตัวเพราะขัดกับเงื่อนไขตามประกาศของจำเลยที่ 1 เนื่องจากเป็นบุคคลธรรมดามิใช่นิติบุคคลปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยทั้งสามอีกว่า เมื่อโจทก์ฟ้องว่าโจทก์เข้ายื่นซองประกวดราคาและเป็นผู้เสนอราคาสูงสุด จำเลยทั้งสามก็ไม่ได้ให้การโต้เถียงว่าเสนอในนามของนายบังเอียนเป็นการส่วนตัว แต่กลับยอมรับว่าโจทก์ได้เข้าประกวดราคาและเสนอราคาสูงสุดจริง และจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์เข้าทำสัญญากับจำเลยที่ 1 แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมเข้าทำสัญญาเองเห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสามต่างก็ยอมรับข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้เสนอราคามาโดยตลอด ไม่เคยโต้แย้งว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสนอราคา นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 10 เดิมบัญญัติว่า เมื่อความข้อใดข้อหนึ่งในเอกสารอาจตีความได้เป็นสองนัยนัยไหนจะทำให้เป็นผลบังคับได้ให้ถือเอาตามนัยนั้นดีกว่าที่จะถือเอานัยที่ไร้ผล และมาตรา 132 เดิม บัญญัติว่า ในการตีความการแสดงเจตนานั้น ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร ดังนั้น ในกรณีนี้จึงต้องถือว่า นายบังเอียนเสนอราคาในนามของโจทก์ มิใช่เสนอราคาในฐานะส่วนตัวเพราะหากถือว่านายบังเอียนเสนอราคาในฐานะส่วนตัวย่อมทำให้การเสนอราคาไร้ผล และขัดกับเจตนาของคู่กรณี
โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่จำเลยทั้งสามฎีกา ดังนี้อุทธรณ์ของโจทก์และฎีกาของจำเลยทั้งสามต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงศาลละ 200 บาท แต่โจทก์และจำเลยทั้งสามเสียค่าขึ้นศาลมาตามทุนทรัพย์จึงไม่ถูกต้องเห็นสมควรคืนส่วนที่เกินให้
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ กับให้คืนค่าขึ้นศาลอุทธรณ์และฎีกาส่วนที่เกินกว่า 200 บาท แก่โจทก์และจำเลยทั้งสาม