คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2001/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำเบิกความของผู้ที่ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ซึ่งพนักงานสอบสวนกันไว้เป็นพยานนั้น แม้จะมีน้ำหนักน้อย แต่ถ้ามีพยานอื่นประกอบก็รับฟังลงโทษจำเลยได้
คำเบิกความของพยานโจทก์ผู้กระทำผิดร่วมกับจำเลย ประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนและการที่จำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพชั้นสอบสวน รับฟังลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกับนายมานพ เปลกระโทกพยานโจทก์ปล้นทรัพย์โค 2 ตัวของนายเขียว เปื้อนกระโทก ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 83

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ และว่าถูกตำรวจทำร้ายบังคับให้รับสอบสวน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกนั้นยืนตามศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 และโจทก์ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า เฉพาะจำเลยที่ 2 ซึ่งโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์มีนายมานพ เปลกระโทกซึ่งถูกจับพร้อมกับจำเลยที่ 1 และรับสารภาพว่าได้ร่วมกระทำผิดด้วยแต่พนักงานสอบสวนกันไว้เป็นพยานเบิกความว่าได้ร่วมกับจำเลยทั้งสองปล้นโคผู้เสียหายไป ตามคำเด็กชายวาย เปื้อนกระโทก พยานโจทก์ปรากฏว่าคนร้ายมีทั้งหมดด้วยกัน 3 คน แต่เด็กชายวาย เปื้อนกระโทกจำได้คนเดียว เมื่อสิบตำรวจโทชม บ่ายกระโทก ติดตามคนร้ายไปก็พบจำเลยทั้งสองอยู่กับนายมานพ เปลกระโทก ที่บ้านจำเลยที่ 2 ในวันเกิดเหตุนั้นเอง ซึ่งตามคำเบิกความจำเลยที่ 1 ว่าถูกจับราวเที่ยงวันหลังเกิดเหตุเพียงชั่วโมงเศษ น่าเชื่อว่านายมานพ เปื้อนกระโทก เห็นเหตุการณ์เพราะได้ร่วมกระทำผิดด้วย จริงอยู่พยานโจทก์ปากนี้ให้การแตกต่างกับเด็กชายวาย เปื้อนกระโทก พยานโจทก์หลายประการแต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะฟังเลยไปถึงว่านายมานพ เปลกระโทก ยอมรับเข้ามาเป็นพยานเพียงให้พ้นจากการถูกกล่าวหาหรือถูกบีบบังคับให้เป็นพยานดังที่ศาลอุทธรณ์ตั้งข้อสงสัย คำเบิกความของผู้ที่ร่วมกระทำผิดด้วยกัน ซึ่งพนักงานสอบสวนกันไว้เป็นพยาน แม้จะมีน้ำหนักน้อย แต่ถ้ามีพยานอื่นประกอบก็รับฟังลงโทษได้

คำพยานประกอบคดีนี้ก็คือ คำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ชั้นสอบสวนซึ่งรับว่าได้ร่วมกระทำผิดเพราะจำเลยที่ 1 ชักชวน นอกจากนั้นจำเลยที่ 2 ยังนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ปรากฏตามภาพถ่ายที่โจทก์ส่งศาลเป็นหลักฐาน ที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่าถูกตำรวจเตะต่อยและให้เซ็นชื่อในกระดาษที่มีข้อความอยู่แล้วนั้น เมื่อร้อยตำรวจโทฉลอง คำเอี่ยม พนักงานสอบสวนเข้าเบิกความประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองชั้นสอบสวน จำเลยที่ 2 ก็หาได้ถามค้านถึงความข้อนี้ไว้ไม่ คงอ้างตัวเองนำสืบภายหลัง จึงไม่มีน้ำหนัก ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนโดยสมัครใจ จึงเป็นหลักฐานประกอบคำนายมานพ เปลกระโทก พยานโจทก์ซึ่งพนักงานสอบสวนกันไว้เป็นพยานดังกล่าว ฟังได้สนิทว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดจริงดังคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น

คดีส่วนตัวจำเลยที่ 1 นั้น นอกจากคำนายมานพ เปลกระโทกซึ่งโจทก์กันไว้เป็นพยานแล้ว โจทก์ยังมีเด็กชายวาย เปื้อนกระโทกเป็นประจักษ์พยานเชื่อถือได้ เมื่อตำรวจไม่ชังนายมานพ เปลกระโทก และกันไว้เป็นพยาน ยังปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ได้ต่อว่าตำรวจว่านายมานพ เปลกระโทก ก็ผิดทำไมไม่ชัง ไม่จัดการกับมัน แสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมทำผิดด้วยจริง มิฉะนั้นจะทราบได้อย่างไรว่านายมานพ เปลกระโทก ทำผิดด้วย ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1ก็ให้การรับสารภาพ และนำชี้ที่เกิดเหตุและแสดงท่าประกอบ ดังที่พนักงานสอบสวนได้ถ่ายภาพไว้ ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ว่าถูกตำรวจทำร้ายแล้วนำกระดาษมาให้เซ็นชื่อโดยไม่ทราบว่ามีข้อความอย่างไรก็มีแต่ตัวจำเลยที่ 1 อ้างตัวเองปากเดียว เบิกความภายหลังลอย ๆไม่มีน้ำหนักที่จะให้เชื่อว่าเป็นจริงดังข้อกล่าวอ้าง พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำผิดจริงดังโจทก์ฟ้อง

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีลงโทษจำเลยที่ 2ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share