คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2000/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัท ธ. การที่จำเลยออกเช็คโดยลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายและประทับตราของบริษัทให้แก่ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้ของบริษัท เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คเพราะจำเลยมีคำสั่งห้ามธนาคารใช้เงินตามเช็คและไม่มีเงินในบัญชีเงินฝากของบริษัท อันเป็นการออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คซึ่งเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ก็ถือว่าจำเลยร่วมกับบริษัทออกเช็ครายนี้ และมีความผิดฐานเป็นตัวการด้วยโจทก์ย่อมฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2523ซึ่งแตกต่างกับที่ปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2522 ข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นข้อแตกต่างในรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาที่กระทำผิดซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่โจทก์ฟ้องผิดไปนั้นมิได้เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามฟ้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกับพวกออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คและห้ามธนาคารใช้เงินตามเช็คโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษจำคุก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ปัญหาในชั้นฎีกามีแต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายซึ่งต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่า จำเลยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัทธนาดิษฐ์ จำกัด บริษัทได้ยืมเงินผู้เสียหาย250,000 บาท จำเลยออกเช็คหมาย จ.2 โดยลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายและประทับตราบริษัทสั่งจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวชำระหนี้ให้ผู้เสียหาย ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค เพราะจำเลยมีคำสั่งให้ระงับการจ่ายและไม่มีเงินในบัญชีของบริษัท เห็นว่า การดำเนินกิจการของบริษัทแสดงออกโดยทางผู้แทนทั้งหลายของบริษัท เมื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้แทนของบริษัทลงชื่อในเช็คสั่งจ่ายเงินโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คอันเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ก็ถือว่าจำเลยร่วมกับบริษัทออกเช็ครายนี้และมีความผิดฐานเป็นตัวการด้วย โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวได้

ปัญหาต่อไปมีว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องจะลงโทษจำเลยได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงตามฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดวันที่ 2 กรกฎาคม 2523 ซึ่งแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาที่ว่า จำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2522 เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2522 มาตรา 5 บัญญัติว่า ข้อแตกต่างเกี่ยวกับเวลาที่กระทำผิดเป็นเรื่องรายละเอียด มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ เว้นแต่การที่ฟ้องผิดไปนั้นเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ แต่จำเลยเบิกความรับว่าเช็คพิพาทลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2522 เมื่อถึงกำหนดธนาคารคืนเช็ค และจำเลยให้การชั้นสอบสวนว่า เช็คพิพาทลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2522 ในวันนั้นจำเลยได้มีคำสั่งให้ระงับการจ่าย แสดงว่าการที่โจทก์ฟ้องผิดไปนั้นมิได้เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ ศาลจึงลงโทษจำเลยตามฟ้องได้

พิพากษายืน

Share