คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 445/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีที่โจทก์จำเลยพิพาทกันแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินสามแปลงผู้ร้องร้องสอดเข้ามาว่า ที่ดินทั้งสามแปลงนี้เป็นของตนกึ่งหนึ่งขอเข้าเป็นจำเลยร่วมเพื่อสู้กับโจทก์เป็นการรักษาสิทธิของตนเช่นนี้ เป็นการร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (2) ดังนั้นเมื่อข้ออ้างในคำร้องสอดขัดกับคำให้การของจำเลยอื่น ๆ ศาลชอบที่จะสั่งให้ยกคำร้องสอดเสียได้

ย่อยาว

โจทก์จำเลยในคดีทั้งสองสำนวนนี้ต่างพิพาทกันแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดินสามแปลงและทรัพย์สินอื่น ๆ
นายบุญศรีผู้ร้องสอดได้ยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีทั้งสองสำนวนเป็นใจความอย่างเดียวกันว่า ที่ดินทั้งสามแปลงนี้เป็นของตนกึ่งหนึ่งผู้ร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีทั้งสองคดีนี้เพื่อต่อสู้กับโจทก์เป็นการรักษาสิทธิของผู้ร้องสอดไว้
โจทก์ทั้งสองคดีและจำเลยที่ ๑๐ ในสำนวนแรกคัดค้าน
ศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาคดีทั้งสองนี้เข้าด้วยกัน แล้วสั่งคำร้องสอดทั้งสองว่า เป็นคำร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วม แต่ข้ออ้างในคำร้องเป็นปรปักษ์กับข้ออ้างของจำเลยอื่น จึงให้ยกคำร้องสอดเสีย
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคำร้องสอดไม่ได้กล่าวให้ชัดว่าผู้ร้องสอดจะขอบังคับอย่างไร แสดงว่าผู้ร้องสอดจงใจขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วม(ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ ข้อ ๒) อย่างเดียวมิได้ขอเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๕๗ ข้อ ๑ ดังนั้น เมื่อข้ออ้างในคำร้องสอดขัดกับคำให้การของจำเลยอื่นเช่นนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้ยกคำร้องสอดจึงชอบแล้ว พิพากษายืน

Share