คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีเกี่ยวพันกัน อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยแต่ละสำนวนแต่ละฐานความผิดและโจทก์ร้องขอให้รวมการพิจารณาเข้าด้วยกันเท่านั้น ไม่ได้ขอให้รวมพิพากษา ศาลก็มีอำนาจพิพากษาคดีที่เกี่ยวพันกันนั้นรวมกันไปได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ และเมื่อศาลสั่งรวมพิจารณาพิพากษาแล้ว ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป หรือจะลงโทษเฉพาะกระทงที่หนักที่สุดก็ได้
แม้ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ประกาศ ณ วันที่ 21พฤศจิกายน พุทธศักราช 2514 ข้อ 2 ให้ยกเลิกความในมาตรา 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา. ให้ใช้ความใหม่แทนให้ศาลลงโทษผู้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันทุกกรรม เป็นกระทงความผิด ฯลฯ เมื่อบทบัญญัติในมาตรา 91 เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิด มีส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยยิ่งกว่าประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 2 ต้องใช้มาตรา 91 เดิมบังคับแก่คดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 วรรคแรก อันเป็นบทบัญญัติให้ศาลต้องนำไปใช้บังคับ หาใช่เป็นเรื่องดุลพินิจไม่

ย่อยาว

คดี 2 สำนวนนี้ ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ฟ้องสำนวนแรกว่า จำเลยใช้มือชกต่อยและใช้ปากกัดนายสมบูรณ์ ประจักษ์แสงศิริได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 และฟ้องสำนวนหลังว่า จำเลยลักทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดประจักษ์อุตสาหกรรม 2 ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของนายสมบูรณ์ไปรวมราคา 50.20 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)ขอให้นับโทษติดต่อกันทั้งสองสำนวน

ชั้นแรกจำเลยให้การปฏิเสธ ครั้นโจทก์ขอรวมการพิจารณาและศาลสั่งรวมการพิจารณาแล้ว จำเลยจึงขอถอนคำให้การเดิมให้การใหม่ รับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335, 297 ให้ลงโทษตามมาตรา 297 แต่กระทงเดียวอันเป็นกระทงหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกจำเลย 2 ปี ลดโทษเพราะมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่งคงเหลือจำคุก 1 ปี

โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ขอให้รวมการพิจารณา ศาลจะพิพากษารวมกันไม่ได้ เกินคำขอและเมื่อโจทก์แยกฟ้องจำเลยเป็นคนละสำนวนศาลจะลงกระทงหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ไม่ได้ ศาลควรกำหนดโทษจำเลยทั้งสองสำนวนและนับโทษติดต่อกันเพื่อให้หลาบจำ

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาชอบแล้ว จึงพิพากษายืน

โจทก์ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า คดีทั้งสองสำนวนนี้เป็นคดีเกี่ยวพันกัน โจทก์ขอและศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเข้าด้วยกันปัญหาตามฎีกาข้อแรกของโจทก์มีว่าคดีสองสำนวนนี้โจทก์ขอให้รวมพิจารณาศาลจะพิพากษารวมกันได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 25 วรรคแรก บัญญัติว่า “ศาลซึ่งรับฟ้องคดีเกี่ยวพันกันไว้ จะพิจารณาพิพากษารวมกันไปก็ได้” ดังนี้ แม้โจทก์จะไม่ขอศาลก็มีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวพันรวมกันไปได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ดังที่โจทก์อ้างและในความผิดที่เกี่ยวพันกัน อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันแม้โจทก์จะฟ้องจำเลยแต่ละสำนวนแต่ละฐานความผิด เมื่อศาลส่งรวมพิจารณาพิพากษาแล้ว ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป หรือจะลงโทษเฉพาะกระทงที่หนักที่สุดก็ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความในมาตรานี้มิได้บัญญัติว่า ความผิดหลายกรรมนั้นจะต้องเป็นความผิดตามกรรมที่ฟ้องอยู่ในสำนวนเดียวกันเท่านั้น ศาลจึงไม่จำต้องกำหนดโทษจำเลยแต่ละสำนวนไป ดังโจทก์ฎีกา

ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ใช้แล้ว ศาลจะนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งถูกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่กล่าว ยกเลิกแก้ไขใหม่มาใช้บังคับแก่คดีนี้ไม่ได้ นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า แม้ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤศจิกายนพุทธศักราช 2514 ข้อ 2 ให้ยกเลิกความในมาตรา 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และให้ใช้ความใหม่แทน ให้ศาลลงโทษผู้กระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันทุกกรรม เป็นกระทงความผิดไป ถ้าความผิดกระทงใดมีอัตราโทษจำคุกตลอดชีวิต ให้เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจำคุกห้าสิบปีก็ตาม แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะจำเลยกระทำผิดคดีนี้ บัญญัติให้ลงโทษผู้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกันทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป หรือเฉพาะกระทงที่หนักที่สุดก็ได้ และโทษจำคุกทั้งสิ้นจะต้องไม่เกินยี่สิบปีเว้นแต่เป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต จึงเป็นกฎหมายที่มีส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยยิ่งกว่าประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 2 จึงต้องใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 บังคับแก่คดีนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคแรก และมาตรา 3 วรรคแรก นี้เป็นบทบัญญัติให้ศาลต้องนำไปใช้บังคับ หาใช่เป็นเรื่องดุลพินิจที่ศาลจะนำไปใช้หรือไม่ก็ได้ดังโจทก์อ้างมาในฎีกาไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยเฉพาะกระทงที่หนักที่สุดจึงชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share