คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยหลอกลวงผู้เยาว์อายุ 16 ปีว่า คู่รักต้องการพบ ผู้เยาว์หลงเชื่อตามจำเลยไปแล้วถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเรากับหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์และภริยาเป็นบิดามารดาของผู้เยาว์รับขมาด้วยเงิน 2,000 บาท โดยยังไม่ได้ตกลงกันเกี่ยวกับความผิดในทางอาญาและยอมรับขมาเพื่อให้ได้ตัวผู้เสียหายกลับคืนมา และเพื่อล้างอายกับเข้าใจว่าบุตรของตนตามเขาไป ดังนี้ เป็นเรื่องตกลงกันในทางแพ่ง ไม่เกี่ยวกับความผิดในทางอาญา จึงถือไม่ได้ว่ามีการยอมความกันถูกต้องตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39((2)
จำเลยหลอกลวงผู้เยาว์ว่า คู่รักของผู้เยาว์มาคอยพบ จะถือว่าผู้เยาว์เต็มใจไปกับจำเลยหาได้ไม่
จำเลยหลอกลวงพาผู้เยาว์ไปบังคับขู่เข็ญกระทำชำเรา มิใช่พาไปในฐานชู้สาว จึงเป็นการพรากไปเพื่อการอนาจาร
พรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจ ผิดตามมาตรา 318 วรรคท้าย เป็นบทหนักกว่ามาตรา 319 ซึ่งศาลอุทธรณ์ปรับมา แต่โจทก์มิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฏีกาจะพิพากษาให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยมิได้

ย่อยาว

นายเติม บุญปกครอง บิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของนางสาวสมใจ บุญปกครอง ผู้เยาว์ซึ่งมีอายุ ๑๖ ปี ฟ้องว่า จำเลยใช้อุบายหลอกลวงพานางสาวสมใจออกจากบ้านไปกับจำเลย และบังอาจใช้มีดขู่เข็ญและข่มขืนกระทำชำเรานางสาวสมใจกับหน่วงเหนี่ยวกักขังนางสาวสมใจไม่ให้ออกจากบริเวณบ้านเป็นเวลา ๖ วัน ๖ คืน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๘๔, ๓๐๙, ๓๑๐ และ๓๑๘
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีมีมูลและสั่งประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้หลอกลวงพานางสาวสมใจไปแล้วขู่เข็ญกระทำชำเรา และเห็นว่าการที่จำเลยพานางสาวสมใจไปอยู่ที่อื่นชั่วระยะเวลาหนึ่งจะถือว่าเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขัง ทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพและพรากผู้เยาว์ยังไม่ได้พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖, ๓๑๐ วรรคแรก และ ๓๑๙ แต่ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖ ซึ่งเป็นกระทงที่หนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑ จำคุก ๓ ปี
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาและยื่นคำแถลงการณ์ว่า จำเลยได้ให้ผู้ใหญ่ไปขอขมาและบิดามารดาของนางสาวสมใจก็ยอมรับขมาโดยรับเงิน ๒,๐๐๐ บาทแล้ว ถือได้ว่าได้ยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๒) แล้วสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องร้องย่อมระงับไป ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะโจทก์และภริยาซึ่งเป็นบิดามารดาของนางสาวสมใจรับขมานั้น โจทก์และภริยายังไม่ทราบว่าจำเลยได้หลอกลวงพาเอานางสาวสมใจไป แล้วใช้มีดปลายแหลมบังคับขู่เข็ญกระทำชำเราอันเป็นผิดในทางอาญาแต่อย่างใด ทั้งในการขอขมาก็ไม่ได้พูดตกลงกันเกี่ยวกับความผิดในทางอาญาแต่อย่างใด โจทก์เบิกความรับรองว่ายอมรับขมาเพื่อให้ได้ตัวนางสาวสมใจกลับคืนมา และเพื่อล้างอาย โจทก์เข้าใจว่าบุตรีของตนตามเขาไปจึงเห็นว่า การยอมรับขมานั้นเป็นเรื่องตกลงกันในทางแพ่ง ไม่เกี่ยวกับความผิดในทางอาญา เพราะขณะยอมรับขมาบิดามารดาของนางสาวสมใจยังไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับคดีอาญาที่เกิดขึ้น จึงยังถือไม่ได้ว่าได้มีการยอมความกันถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๒)
จำเลยยื่นคำแถลงว่า จำเลยไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๑๙ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปอันเป็นผิดมาตรา ๓๑๙ นั้นจะต้องพรากเอาไปเพื่อการค้ากำไรหรือเพื่อการอนาจาร ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยหลอกลวงพาเอานางสาวสมใจไปบังคับขู่เข็ญกระทำชำเรา มิใช่พาไปในฐานชู้สาว จึงเป็นการพาไปเพื่อการอนาจาร อย่างไรก็ดี การที่จำเลยหลอกลวงว่า นายประนอมคู่รักของนางสาวสมใจมาคอยพบ นางสาวสมใจได้ลงเรือไปกับจำเลยนั้น จะถือว่านางสาวสมใจไปกับจำเลยด้วยความเต็มใจหาได้ไม่ เพราะนางสาวสมใจมิได้เต็มใจไปกับจำเลย หากแต่หลงเชื่อคำหลอกลวง จึงได้ยอมไปกับจำเลย ถ้าจำเลยไม่หลอกลวงนางสาวสมใจ ๆ ก็คงไม่ยอมไปด้วยแน่นอน การกระทำของจำเลยจึงเป็นเรื่องพรากผู้เยาว์ซึ่งมีอายุไม่เกิน ๑๘ ปีไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๘ วรรคท้าย เป็นบทหนักกว่ามาตรา ๓๑๙ แต่โจทก์มิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาจะพิพากษาให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยมิได้
จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share