คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1998/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับรองบุตรและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วยกันนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน โจทก์ฟ้องรวมมาในคดีเดียวกันได้ ไม่จำเป็นต้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรเสียก่อน แล้วจึงมาฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูในภายหลัง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2085/2499)
โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์จากจำเลยในฐานะที่โจทก์เป็นมารดาและเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ไม่ใช่ฟ้องในนามของผู้เยาว์หรือในฐานะผู้แทนผู้เยาว์นั้น ไม่เป็นคดีอุทลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยล่อลวงร่วมประเวณีกับโจทก์จนเกิดบุตรด้วยกัน 1 คน เมื่อโจทก์คลอดบุตรแล้วจำเลยได้แสดงให้รู้ทั่วไปตลอดมาว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลย ดังนี้ แม้โจทก์จะไม่มีเอกสารของจำเลยแสดงชัดว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529(3) ก็ตาม โจทก์ก็ฟ้องได้ เพราะโจทก์ได้บรรยายไว้ด้วยว่าเมื่อโจทก์คลอดบุตรแล้วจำเลยได้แสดงให้รู้ทั่วไปตลอดมาว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลย ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่จะฟ้องขอให้รับรองบุตรได้อยู่แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529(5)
การกำหนดให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรโดยคำพิพากษานั้นต้องเริ่มแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยล่อลวงร่วมประเวณีกับโจทก์จนเกิดบุตรด้วยกัน 1 คน คือเด็กชายอนุชิต สุวรรณจูฑะ จำเลยแจ้งการเกิดว่าจำเลยเป็นบิดา เป็นคนตั้งชื่อบุตรให้บุตรใช้นามสกุลของจำเลย ให้ความอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา แสดงให้รู้กันทั่วไปว่าเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรของจำเลยต่อมาจำเลยงดให้ความอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา และมีพฤติการณ์ไม่ยอมรับเด็กชายอนุชิตเป็นบุตร ขอให้พิพากษาว่าเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ให้จำเลยไปจดทะเบียนว่าเป็นบุตรและให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนสำเร็จชั้นประถมศึกษาและเดือนละ 1,000 บาท ตั้งแต่เริ่มเข้าศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาจนบรรลุนิติภาวะ

จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายอนุชิต จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์มิได้ดำเนินการให้จำเลยรับรองเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายเสียก่อน จึงฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูไม่ได้โจทก์จะฟ้องให้รับรองบุตรและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วยกันไม่ได้ จำเลยไม่เคยหลอกลวงร่วมประเวณีกับโจทก์ เด็กชายอนุชิตไม่ใช่บุตรจำเลย จำเลยไม่เคยไปแจ้งการเกิดในทะเบียนว่าจำเลยเป็นบิดาไม่เคยตั้งชื่อและให้เด็กชายอนุชิตใช้นามสุกลของจำเลย ไม่เคยให้ความอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรจำเลย ให้จำเลยไปจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทนจึงให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 500 บาท นับแต่วันพิพากษาเป็นต้นไป จนกว่าจะสำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษา และเดือนละ 800 บาท ตั้งแต่เข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตลอดไปจนกว่าบรรลุนิติภาวะ โดยไม่ตัดสิทธิที่จะเพิกถอน ลด เพิ่มเมื่อพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่าโจทก์จะฟ้องจำเลยเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาในฟ้องขอให้รับรองบุตรไม่ได้ และการที่โจทก์ในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูแทนผู้เยาว์เป็นคดีอุทลุมต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับรองบุตรและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วยกันนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน โจทก์ฟ้องรวมมาในคดีเดียวกันได้ ไม่จำเป็นต้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรเสียก่อน แล้วจึงมาฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูในภายหลังตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 2085/2499 ระหว่างนางวรินทร์ เศวตกนิษฐ์ มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงตุ๋มบุตรผู้เยาว์ โจทก์ นายสนิท รตจินดา จำเลยและการที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์จากจำเลย ก็ไม่เป็นคดีอุทลุมเพราะฟ้องในฐานะที่เป็นมารดาและเป็นผู้ใช้อำนวจปกครอง ไม่ใช้ฟ้องในนามของผู้เยาว์หรือในฐานะผู้แทนผู้เยาว์

จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของโจทก์ที่ว่าโจทก์ได้เสียกับจำเลยเพราะความสมัครใจรักใคร่กัน ซึ่งต่างกับที่โจทก์บรรยายในฟ้องว่าจำเลยได้ล่อลวงร่วมประเวณีกับโจทก์ จึงเป็นเรื่องไม่จริง เพราะการล่อลวงร่วมประเวณีกับหญิงที่เป็นมารดาของเด็ก จะฟังเป็นความจริงได้จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งของบิดาทำไว้ให้แสดงออกอย่างชัดแจ้ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529(3) นั้น เห็นว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยล่อลวงร่วมประเวณีกับโจทก์แต่อย่างเดียว แต่บรรยายฟ้องต่อไปด้วยว่า เมื่อโจทก์คลอดเด็กชายอนุชิตแล้ว จำเลยได้แสดงให้รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรของจำเลย ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่จะฟ้องขอให้รับรองบุตรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529(5) ด้วย

จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายอนุชิตมากเกินกว่าเหตุ และที่ให้จ่ายนับตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษานั้น ไม่ถูก เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูให้จำเลยจ่ายแก่เด็กชายอนุชิตนั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในเรื่องกำหนดจำนวนเงิน แต่ที่ให้จ่ายตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1530 บัญญัติว่า การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีผล (3) ถ้ามีคำพิพากษาว่าเป็นบุตร ให้มีผลนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดเพราะฉะนั้น สิทธิและหน้าที่ระหว่างจำเลยและเด็กชายอนุชิตผู้เป็นบุตรโดยคำพิพากษาของศาลจึงเริ่มแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายอนุชิต สุวรรณจูฑะ เดือนละ 500 บาท นับตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share