แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องศาลฎีกาพิพากษากลับ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดใน กรณีเช่นนี้เจ้าหนี้ย่อมยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนด 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์เด็ดขาดของศาลฎีกาได้
จำเลย(ลูกหนี้) จำนองทรัพย์สินไว้แก่เจ้าหนี้ ในสัญญา ต่อท้ายสัญญาจำนองได้กำหนดให้จำเลยประกันภัยทรัพย์สิน ที่จำนองโดยให้เจ้าหนี้เป็นผู้รับประโยชน์จากสัญญาประกันภัยนั้น แต่จำเลยไม่จัดการประกันภัยเจ้าหนี้จึงทำสัญญาประกันภัยและได้ชำระเบี้ยประกันภัยไป ดังนี้เจ้าหนี้จะมาขอรับชำระหนี้ในหนี้จำนวนดังกล่าวโดยอ้างว่า ชำระแทนจำเลยไปไม่ได้ เพราะต้องถือว่าเจ้าหนี้เป็นทั้งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 862ผู้เอาประกันภัยหมายความว่าคู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย การที่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นคู่สัญญา กับผู้รับประกันภัยได้ชำระเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้รับประกันภัย ไปจึงต้องถือว่าเป็นการชำระหนี้ของตนเอง ไม่ใช่เป็นการ ชำระหนี้แทนจำเลยหาก่อให้เกิดอำนาจแห่งการรับช่วงสิทธิ แก่เจ้าหนี้ตามมาตรา 226 และมาตรา 229 แต่ประการใดไม่
ย่อยาว
กรณีเรื่องนี้สืบเนื่องมาจากศาลแพ่งมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๑๖ วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๑๘ ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลฎีกาเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๑๘ แจ้งกำหนดเวลาให้เจ้าหนี้ที่ยังไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ ให้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา ๒ เดือน นับแต่วันที่โฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
ธนาคารกรุงไทยจำกัดยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน๒๕๑๘ อ้างว่าจำเลยเป็นหนี้ตามภาระหนังสือค้ำประกัน หนี้เบิกเงินเกินบัญชีหนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ หนี้ตามเลตเตอร์ออฟเครดิต และหนี้เงินค่าเบี้ยประกันภัยจ่ายแทนจำเลยเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๖๘,๘๐๓,๐๑๐ บาท ๑๐ สตางค์
นายราชัย เตชะพูนผล เจ้าหนี้คัดค้านว่าหนี้ที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นเงินสูงเกินความจริง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วเสนอความเห็นต่อศาลชั้นต้นว่า๑. หนี้ตามภาระหนังสือค้ำประกันต่อกรมศุลกากรที่ขอมา ๑,๕๖๓,๒๗๘ บาท๑๐ สตางค์ เห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เป็นจำนวน ๖๒๒,๔๘๒ บาท๒๙ สตางค์ ๒. หนี้ตามภาระหนังสือค้ำประกันต่อกรมศุลกากรซึ่งยังไม่ได้ชำระให้ยกเสีย ๓. หนี้ตามภาระหนังสือค้ำประกันต่อบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่ขอมา ๒๓,๓๓๖,๐๓๙ บาท ๕๑ สตางค์ เห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เป็นจำนวน ๖,๑๗๙,๗๕๒ บาท ๖๐ สตางค์ ๔. หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่ขอมา ๒๙,๑๘๑,๗๑๕ บาท ๗๓ สตางค์ เห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระเป็นจำนวน ๗,๖๗๘,๖๘๗ บาท ๓๒ สตางค์ โดยมีเงื่อนไขว่าหากบังคับชำระหนี้จากนายราชัย เตชะพูนผล ผู้ค้ำประกันและได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๐๕๗ แล้วเพียงใด ให้ลดลงเพียงนั้น๕. หนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อที่ขอมา ๕,๒๗๐,๓๕๕ บาท ๒๒ สตางค์เห็นการให้เจ้าหนี้ได้รับชำระจำนวน ๓,๙๒๕,๖๒๘ บาท ๔๑ สตางค์ และหนี้ตามเลตเตอร์ออฟเครดิตที่ขอมา ๘๘๖,๓๔๔ บาท ๖๒ สตางค์ เห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระเป็นจำนวน ๖๓๑,๑๐๔ บาท ๖๔ สตางค์โดยมีเงื่อนไขว่า หากเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากนายราชัย เตชะพูนผล นายกิจจา เตชะพูนผลและนางมาลิน คุวานันท์ ผู้ค้ำประกันแล้วเพียงใด ให้ลดลงเพียงนั้น๖. หนี้ค้ำประกันต่อกองตรวจคนเข้าเมืองเห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เป็นเงินจำนวน ๔๕,๐๐๐ บาท โดยมีเงื่อนไขว่าหากบุคคลต่างด้าวไม่มีหนี้หรือไม่ต้องรับผิดต่อกองตรวจคนเข้าเมืองเพียงใด ให้ลดลงเพียงนั้น๗. หนี้ค่าประกันภัยให้ยกเสียทั้งหมด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้และผู้คัดค้านต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำนวนเงินที่เจ้าหนี้ชำระให้แก่กรมศุลกากรไปนั้น อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระเป็นจำนวน ๑,๓๐๖,๗๘๖บาท ๒๙ สตางค์ จำนวนเงินที่เจ้าหนี้ชำระให้แก่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยนั้นอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระเป็นจำนวน ๒๑,๐๙๓,๐๔๙บาท ๖๓ สตางค์ หนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระจำนวน ๓,๘๘๓,๖๕๗ บาท ๐๓ สตางค์ และอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับในการที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยไปเป็นจำนวน ๑๐๗,๐๑๘ บาท ๔๐ สตางค์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับส่วนอุทธรณ์ของผู้คัดค้านนั้นให้ยกอุทธรณ์ คืนค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้ทั้งหมด
ผู้ขอรับชำระหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และผู้คัดค้านต่างฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกาว่าหนี้ตามภาระหนังสือค้ำประกันต่อบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่ผู้ขอรับชำระหนี้ได้ชำระแทนลูกหนี้ไปนั้น บางส่วนเจ้าหนี้ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา ๒ เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลชั้นต้นเป็นจำนวนเงิน ๑๐,๑๘๘,๐๖๓ บาท ๒๗ สตางค์ เจ้าหนี้จึงขาดสิทธิเรียกร้องในเงินจำนวนดังกล่าวจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ขอรับชำระหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา ๒ เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลฎีกา จึงหาขาดสิทธิเรียกร้องดังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกาไม่
หนี้ตามค่าเบี้ยประกันภัยนั้นศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ลูกหนี้ได้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๐๕๗ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อประกันหนี้ทั้งหมดในวงเงิน ๑๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองได้กำหนดไว้ว่าลูกหนี้จะต้องทำการประกันภัยสิ่งปลูกสร้างที่จำนองโดยให้เจ้าหนี้เป็นผู้รับประโยชน์จากสัญญาประกันภัยนั้น แต่ลูกหนี้ไม่จัดการประกันภัยเจ้าหนี้จึงทำสัญญาประกันภัยสิ่งปลูกสร้างของลูกหนี้ไว้กับผู้รับประกันภัยเองและได้ชำระเบี้ยประกันไปรวมเป็นเงิน ๑๐๗,๐๑๘บาท ๔๐ สตางค์ เจ้าหนี้จึงมาขอรับชำระหนี้ในหนี้จำนวนดังกล่าวโดยอ้างว่าได้ชำระหนี้แทนลูกหนี้ไป ศาลฎีกาเห็นว่าการที่เจ้าหนี้ได้ทำสัญญาประกันภัยทรัพย์ของลูกหนี้ไว้กับผู้รับประกันภัยเอง ในกรณีนี้ต้องถือว่าเจ้าหนี้เป็นทั้งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยตามมาตรา ๘๖๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ท่านหมายความว่าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย การที่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นคู่สัญญากับผู้รับประกันภัยได้ชำระเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้รับประกันภัยไปจึงต้องถือว่าเป็นการชำระหนี้ของตนเอง ไม่ใช่เป็นการชำระหนี้แทนลูกหนี้หาก่อให้เกิดอำนาจการรับช่วงสิทธิแก่เจ้าหนี้ตามมาตรา ๒๒๖ และมาตรา ๒๒๙แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แต่ประการใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเจ้าหนี้กระทำไปเพื่อบรรเทาความเสียหายของเจ้าหนี้ที่จะได้รับลูกหนี้จึงต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก้เจ้าหนี้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะที่อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามภาระหนังสือค้ำประกันต่อบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่เจ้าหนี้ได้ชำระแทนลูกหนี้ไปในต้นเงิน ๒๐,๒๙๖,๓๖๔ บาท๓๕ สตางค์เป็นว่า อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในต้นเงิน ๑๘,๔๐๗,๑๐๘บาท ๑๒ สตางค์และที่อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในการที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยไปจำนวน ๑๐๗,๐๑๘ บาท ๔๐ สตางค์ เป็นว่าให้ยกคำขอรับชำระหนี้ในหนี้จำนวนดังกล่าวทั้งหมด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ