คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้เหตุจะเกิดเวลากลางคืนแต่พยานโจทก์ทั้งสามก็มีโอกาสเห็นจำเลยที่ 2 โดยใกล้ชิดเป็นเวลานานพอสมควร ซึ่งในบ้านพักนั้นมีแสงเทียนและแสงไฟฉายที่จำเลยที่ 1 ใช้ส่องหาทรัพย์สินทั้งขณะผู้เสียหายที่ 1 เข้าแจ้งต่อผู้ใหญ่บ้านและเจ้าพนักงานตำรวจก็ระบุว่าจำจำเลยทั้งสองได้ เมื่อพนักงานสอบสวนจัดให้มีการชี้ตัวคนร้ายผู้เสียหายที่ 1 และ ส. ชี้ตัวจำเลยที่ 2ได้ถูกต้อง ได้ความว่าหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากถูกกระสุนปืน จำเลยที่ 1 เป็นผู้พาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจำเลยที่ 2 แจ้งต่อแพทย์ผู้รักษาบาดแผลว่าถูกกระสุนปืนเมื่อเวลา1 นาฬิกาของวันที่ 26 มกราคม 2538 ซึ่งตรงกับวันเวลาเกิดเหตุและสอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ที่ให้การว่าได้ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ผู้ตายแต่ผู้ตายขัดขืนจำเลยที่ 2จึงจับผู้ตายไว้แล้วจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนลูกซองยิงผู้ตายกระสุนพลาดไปถูกจำเลยที่ 2 ได้รับบาดเจ็บ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจติดตามไปจับจำเลยทั้งสองที่บ้าน ป. เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 ได้ ส่วนจำเลยที่ 2 วิ่งหลบหนีไปทางหลังบ้านเข้าไปในป่ากกเจ้าพนักงานตำรวจต้องระดมกำลังออกค้นหาเป็นเวลานาน 1 ชั่วโมง จึงพบจำเลยที่ 2 ซ่อนตัวอยู่ในป่ากกการที่จำเลยที่ 2 วิ่งหลบหนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและหลบซ่อนอยู่ในป่ากก เช่นนี้ย่อมเป็นข้อพิรุธในการกระทำผิดของจำเลยที่ 2ชั้นจับกุมจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพและนำเจ้าพนักงานตำรวจไปเอาอาวุธปืนที่ใช้ในการกระทำความผิดจากที่ซ่อน ทั้งชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ก็ให้การรับสารภาพ นำชี้ที่เกิดเหตุและแสดงท่าทางประกอบคำรับสารภาพ พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวประกอบกันจึงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และพยายามปล้นทรัพย์ผู้เสียหายที่ 3โดยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 3 ถึงแก่ความตาย แม้พยานโจทก์จะเบิกความแตกต่างกันบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับจะรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช่คนร้ายในคดีนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2538 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนลูกซองนั้น ขนาด 12 ไม่มีเครื่องหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ 2 กระบอก กับกระสุนปืนลูกซองขนาด 12ไม่ทราบจำนวน อันเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันพาอาวุธปืนกับกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่ที่ 9 ตำบลทุ่งมะพร้าว อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา อันเป็นเมือง และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวและไม่ใช่กรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์แล้วจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์สร้อยคอทองคำหนัก2 บาท 1 เส้น ราคา 8,960 บาท ของนายอุทัย พรหมจันทร์ผู้เสียหายที่ 1 ไป โดยใช้อาวุธปืนดังกล่าวขู่เข็ญว่า ในทันใดนั้นจะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 ทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป ยึดถือเอาทรัพย์ไว้และให้พ้นจากการจับกุม และในการปล้นทรัพย์ดังกล่าวจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันใช้รถจักรยานยนต์ 2 คัน เป็นพาหนะเพื่อกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวปล้นทรัพย์เงินสดจำนวน 5,000 บาท และรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าหลายเลขทะเบียนภูเก็ต ฆ-7734 ราคา 15,000 บาทรวมราคาทรัพย์ 20,000 บาท ของชายและหญิงไม่ทราบชื่อซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติพม่าผู้เสียหายที่ 2 โดยใช้อาวุธปืนยิง1 นัด เพื่อขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 2ทั้งนี้เพื่อให้ความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไปยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ และให้พ้นจากการจับกุม และจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันใช้รถจักรยานยนต์ 2 คัน เป็นยานพาหนะเพื่อกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์เงินไม่ทราบจำนวนของชายไม่ทราบชื่อซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติพม่าผู้ตาย โดยใช้อาวุธปืนดังกล่าวขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพื่อความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์และเพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้จำเลยทั้งสองกับพวกลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เนื่องจากผู้ตายต่อสู้และไม่ยอมส่งมอบทรัพย์สินให้แก่จำเลยทั้งสองกับพวก จำเลยทั้งสองกับพวกจึงใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้ตาย 1 นัด โดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกบริเวณหน้าผากของผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามรายงานชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้อง ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดเพื่อปกปิดความผิดหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่จำเลยทั้งสองกับพวกได้ปล้นทรัพย์ดังกล่าว โดยจำเลยทั้งสองกับพวกใช้รถจักรยานยนต์ 2 คัน เป็นยานพาหนะเพื่อกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม เหตุเกิดที่ตำบลทุ่งมะพร้าว อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ตามวันเวลาดังกล่าวเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียนภูเก็ต ฆ-7734 ของผู้เสียหายที่ 2 รถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซุกิ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันใช้เป็นยานพาหนะ อาวุธปืนลูกซองสั้นขนาด 12 ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ 2 กระบอกปลอกกระสุนขนาด 12 จำนวน 1 ปลอก และซองพกใน 1 ซองที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันใช้ในการกระทำผิดเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80,83, 91, 288, 289, 340, 340 ตรี, 371พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72,72 ทวิ และริบอาวุธปืนลูกซองสั้น ปลอกกระสุนปืนและซองพกในของกลางกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน>8,960 บาท และคืนเงินจำนวน 5,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1และที่ 2 ตามลำดับ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6)(7), 340 วรรคสอง, วรรคสี่, วรรคห้า, 340 ตรี, 371 ประกอบมาตรา 52(1), 80, 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ1 ปี ฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนและใช้ยานพาหนะจำคุกคนละ24 ปี ฐานปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืนยิงกับใช้ยานพาหนะจำคุกคนละ 30 ปี ฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืนยิงกับใช้ยานพาหนะเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อความสะดวกในการที่จะทำผิดอย่างอื่นเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำผิดอย่างอื่น ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(1) คงลงโทษฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 8 เดือน ฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนและใช้ยานพาหนะ จำคุกคนละ 16 ปีฐานปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืนยิงกับใช้ยานพาหนะ จำคุกคนละ20 ปี ฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำผิดอย่างอื่นจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3)ริบอาวุธปืนลูกซอง ปลอกกระสุนปืนและซองพกในของกลางกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำจำนวน8,960 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงชายไม่ทราบชื่อซึ่งเป็นชาวพม่าถึงแก่ความตาย สำหรับข้อหาฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลล่าง และให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยในข้อหาดังกล่าวให้ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และพยายามปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ 3 โดยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 3 ถึงแก่ความตายหรือไม่ โจทก์มีนายอุทัย พรหมจันทร์ ผู้เสียหายที่ 1นางสุภา แก้วบ้านดอน และนายสมเกียรติ พรหมทัดเป็นประจักษ์พยาน เบิกความตรงกันว่าขณะเกิดเหตุเห็นจำเลยที่ 1และที่ 2 เข้าไปในบ้านพักที่พยานทั้งสามนอนอยู่ หลังจากจำเลยที่ 1และที่ 2 ออกจากบ้านพักแล้วได้ยินเสียงคนงานพม่าร้องและมีเสียงปืนดัง ผู้เสียหายที่ 1 ยังได้เบิกความต่อไปว่าเมื่อจำเลยทั้งสองเดินออกจากบ้านพักของพยานแล้ว ผู้เสียหายที่ 1ยืนดูที่ประตูหน้าบ้านพัก ได้ยินเสียงจำเลยที่ 1 ขู่ให้คนงานพม่าเปิดประตูบ้าน แต่คนงานพม่าไม่ยอมเปิด จำเลยที่ 1 จึงใช้เท้าถีบประตูแล้วจำเลยทั้งสองก็เข้าไปในบ้านพักคนงานพม่าและข่มขู่เอาทรัพย์สิน ได้ยินคนงานพม่าร้องและมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดจำเลยทั้งสองเข้าไปในบ้านพักนั้นประมาณ 5 นาที ก็ออกมาหลังจากจำเลยทั้งสองและพวกนั่งรถจักรยานยนต์ออกไปได้สักครู่ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก 1 นัด วันรุ่งขึ้นตอนเช้าพบศพคนงานพม่าใกล้บ้านพักของนายการุณหรือเอียด เห็นว่าแม้เหตุจะเกิดเวลากลางคืน แต่พยานโจทก์ทั้งสามก็มีโอกาสเห็นจำเลยที่ 2โดยใกล้ชิดเป็นเวลานานพอสมควร ซึ่งในบ้านพักนั้นมีแสงเทียนและแสงไฟฉายที่จำเลยที่ 1 ใช้ฉายส่องหาทรัพย์สิน ขณะผู้เสียหายที่ 1เข้าแจ้งต่อผู้ใหญ่บ้านและเจ้าพนักงานตำรวจก็ได้ระบุว่าจำจำเลยทั้งสองได้เมื่อพนักงานสอบสวนจัดให้มีการชี้ตัวคนร้ายก็ปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 และนางสุภาชี้ตัวจำเลยที่ 2 ได้ถูกต้องหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากถูกกระสุนปืนจำเลยที่ 1 เป็นผู้พาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตะกั่วป่า จำเลยที่ 2 แจ้งต่อนายแพทย์ทวีป บุญวิชัย แพทย์ผู้ทำการรักษาบาดแผลจำเลยที่ 2 ว่าถูกกระสุนปืนเมื่อเวลา 1 นาฬิกา ของวันที่26 มกราคม 2538 ตามใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตรเอกสารหมาย จ.21 ซึ่งตรงกับเวลาเกิดเหตุคดีนี้และสอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ที่ให้การว่าได้ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ผู้ตาย แต่ผู้ตายขัดขืนจำเลยที่ 2 จึงจับผู้ตายไว้แล้วจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนลูกซองยิงผู้ตาย กระสุนพลาดไปถูกจำเลยที่ 2ได้รับบาดเจ็บ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจติดตามไปจับจำเลยทั้งสองที่บ้านนางปรีดา หลีฉุ่น เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 ได้ส่วนจำเลยที่ 2 วิ่งหลบหนีไปทางหลังบัานนางปรีดาเข้าไปในป่ากก เจ้าพนักงานตำรวจต้องระดมกำลังออกตรวจค้นหาเป็นเวลานาน 1 ชั่วโมงจึงพบจำเลยที่ 2 ซ่อนตัวอยู่ในป่ากกการที่จำเลยที่ 2 วิ่งหลบหนีเจ้าพนักงานตำรวจและหลบซ่อนอยู่ในป่ากกเช่นนี้ย่อมเป็นข้อพิรุธในการกระทำผิดของจำเลยที่ 2ชั้นจับกุมจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพและร่วมกับจำเลยที่ 1นำเจ้าพนักงานตำรวจไปเอาอาวุธปืนที่ใช้ในการกระทำผิดจากที่ซ่อนทั้งชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ก็ให้การรับสารภาพนำชี้ที่เกิดเหตุและแสดงท่าทางประกอบคำรับสารภาพตามภาพถ่ายหมาย จ.42พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวประกอบกันฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และพยายามปล้นทรัพย์ผู้เสียหายที่ 3 โดยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 3ถึงแก่ความตาย แม้พยานโจทก์จะเบิกความแตกต่างกันบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับจะรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช่คนร้ายในคดีนี้ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share