คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1987/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลักปฏิบัติในการบังคับคดีตามที่ ป.วิ.พ. บัญญัติไว้เกี่ยวกับการยึดทรัพย์ มิได้มีข้อกำหนดว่าการยึดทรัพย์จะต้องกระทำต่อหน้าเจ้าของทรัพย์และหลังจากที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์พิพาทแล้วก็ปิดประกาศการยึดไว้ ณ ที่ยึดซึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลย ถือได้ว่าจำเลยทราบถึงการยึดทรัพย์โดยชอบแล้ว การยึดทรัพย์พิพาทย่อมชอบด้วยกฎหมาย การประเมินราคาทรัพย์พิพาทเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินโดยอาศัยหลักเกณฑ์เทียบเคียงกับราคาประเมินของกรมที่ดินและยังจัดให้สำนักงานวางทรัพย์กลางทำการประเมินอีกครั้งหนึ่งก็ได้ราคาใกล้เคียงกัน ราคาทรัพย์ที่พนักงานบังคับคดีประเมินไว้จึงมิได้เกิดจากการสมคบกับโจทก์กดราคาให้ต่ำลง ประกอบกับในการขายทอดตลาดก็ไม่มีพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าการประมูลทรัพย์พิพาทมีการสมคบกันกดราคาลง การขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทจึงชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,739,506.52 บาท จำเลยทั้งสองทราบคำบังคับแล้วไม่ชำระเงินแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยทั้งสอง ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ยึด โจทก์ประมูลราคาสูงสุดเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอนุญาตให้ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องคัดค้านว่า โจทก์ทำการยึดที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์เกือบเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากที่โจทก์ทำการยึดทรัพย์ จำเลยทั้งสองชำระหนี้ส่วนที่เหลือแก่โจทก์ครบถ้วน โจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีอำนาจที่จะนำทรัพย์ของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาด และการยึดไม่ใช่กรณีฉุกเฉินที่จะทำให้โจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจดำเนินการบังคับคดีหลังพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก และการบังคับคดีมิได้กระทำต่อหน้าจำเลยทั้งสอง เจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้แจ้งการยึดให้จำเลยทั้งสองทราบ โจทก์สมคบกับเจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาทรัพย์ต่ำกว่าความเป็นจริงเมื่อขายทอดตลาดโจทก์เป็นผู้ประมูลเองในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่เป็นจริง และเป็นการขายครั้งแรกยังไม่สมควรขาย ขอให้ถอนการยึดและเพิกถอนขายทอดตลาด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และให้โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกว่า วิธีการที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า หลักปฏิบัติในการบังคับคดีตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติไว้เกี่ยวกับการยึดทรัพย์ มิได้มีข้อกำหนดว่าการยึดทรัพย์จะต้องกระทำต่อหน้าเจ้าของทรัพย์ ทั้งหลังจากที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์พิพาทแล้ว ก็ปิดประกาศการยึดไว้ ณ ที่ยึดซึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสอง ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองทราบถึงการยึดทรัพย์พิพาทโดยชอบแล้ว เมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์พิพาท และเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ตามระเบียบแล้ว การยึดทรัพย์พิพาทย่อมชอบด้วยกฎหมาย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อที่สองมีว่า การขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างว่าราคาทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินต่ำกว่าความเป็นจริงมากโดยประเมินราคาที่ดินไว้ตารางวาละ 50,000 บาทเป็นราคาที่ดิน 1,250,000 บาท และประเมินราคาสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน1,000,000 บาท รวมราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 2,250,000 บาทราคาที่สมควรนั้นควรเป็นราคาที่ซื้อขายตามความเป็นจริงในท้องตลาดตารางวาละ 110,000 บาท ที่ดินทั้งแปลงควรมีราคา 2,750,000 บาทซึ่งสูงเป็นสองเท่าของราคาประเมิน ส่วนราคาสิ่งปลูกสร้างควรสูงเป็นสองเท่าของราคาประเมินด้วย คือราคา 2,000,000 บาท รวมราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างควรเป็นเงินกว่า 4,000,000 บาท ประกอบกับจำเลยนำสืบแล้วว่าที่ดินที่มีลักษณะเหมือนที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างอยู่ในทำเลเดียวกับที่พิพาท เนื้อที่ 16 ตารางวา มีราคาในท้องตลาด6,400,000 บาท การที่โจทก์ซื้อได้ในราคา 3,500,000 บาท จึงต่ำกว่าราคาที่เป็นจริง เห็นว่า การประเมินราคาทรัพย์พิพาทเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินโดยอาศัยหลักเกณฑ์เทียบเคียงกับราคาประเมินของกรมที่ดินและยังจัดให้สำนักงานวางทรัพย์กลางทำการประเมินอีกครั้งหนึ่งก็ได้ราคาใกล้เคียงกัน ราคาทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้จึงมิได้เกิดจากการสมคบกับโจทก์กดราคาให้ต่ำลง พยานหลักฐานที่จำเลยทั้งสองอ้างเพื่อให้เห็นว่าทรัพย์พิพาทมีราคาสูงมีเพียงภาพถ่ายหมาย ล.1 ล.3 และใบโฆษณาเอกสารหมาย ล.4 ซึ่งมิใช่ทรัพย์พิพาท แม้ห้องข้างเคียงที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าเจ้าของเสนอขายในราคาห้องละ 3,000,000 บาท จำเลยที่ 2 ก็ยังเบิกความไว้ว่าขณะนี้ยังขายไม่ได้ ข้อกล่าวอ้างของจำเลยทั้งสองจึงเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้โจทก์ประมูลได้ในราคา 3,500,000 บาท สูงกว่าราคาประเมิน หากผู้ใดเห็นว่าทรัพย์พิพาทมีราคาสูงกว่านั้นก็สามารถเข้าสู้ราคาให้สูงขึ้นไปอีกได้แต่จำเลยทั้งสองก็มิได้เข้าสู้ราคาหรือหาผู้อื่นมาเข้าสู้ราคาให้สูงกว่าที่โจทก์เสนอ ประกอบกับในการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทก็ไม่มีพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าการประมูลทรัพย์พิพาทมีการสมคบกันกดราคาลง การขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทจึงชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน

Share