คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1984/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำขอให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายเป็นคำขอในส่วนแพ่งที่พนักงานอัยการผู้เป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนโจทก์คดีนี้ ทั้งโจทก์ก็ได้ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวด้วย คำขอบังคับของโจทก์ในคดีนี้กับคำขอส่วนแพ่งในคดีอาญาดังกล่าวเป็นเรื่องเดียวกัน ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีส่วนแพ่งในคดีอาญาดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทำหน้าที่ผู้จัดการของโจทก์ มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันในวงเงิน150,000 บาท โดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 8825 จำนองเป็นประกันระหว่างทำหน้าที่ผู้จัดการ สินค้าและทรัพย์สินของโจทก์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 สูญหายไป 15 รายการรวมเป็นเงิน1,021,917 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,168,817.60บาท พร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนในวงเงิน 150,000 บาท ถ้าจำเลยที่ 2 ไม่ชำระ ให้นำที่ดินจำนองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และขาดอายุความ จำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันหรือสัญญาจำนองเพื่อประกันความเสียหายให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการหรือผู้ช่วยผู้จัดการ ความเสียหายของโจทก์ไม่ได้เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน150,000 บาท แก่โจทก์ หากไม่ชำระให้นำที่ดินตามโฉนด เลขที่ 8825เลขที่ดิน 605 ตำบลหนองจ๊อบ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฝ่ายเดียวฎีกาเพียงประเด็นเดียวว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ไม่ขาดอายุความ แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2528 พนักงานอัยการประจำศาลแขวงนครสวรรค์ได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแขวงนครสวรรค์ในฐานความผิดยักยอกทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 และมีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ จำนวน1,021,827 บาท แก่ผู้เสียหายซึ่งขอเข้าร่วมเป็นโจทก์และเป็นโจทก์ในคดีนี้ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1554/2529 ของศาลแขวงนครสวรรค์เงินจำนวนตามคำขอดังกล่าวเป็นรายเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องและมีคำขอบังคับจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ โดยโจทก์ได้ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 28ตุลาคม 2529 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีอาญาดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า คำขอให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่ผู้เสียหายเป็นคำขอในส่วนแพ่งที่พนักงานอัยการผู้เป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนโจทก์คดีนี้ ทั้งโจทก์ก็ได้ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวด้วย ซึ่งต้องตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง ที่ว่า”นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้วคดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้ (1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน หรือต่อศาลอื่น ฯลฯ” จึงเป็นที่เห็นได้ว่า คำขอบังคับของโจทก์ในคดีนี้กับคำขอส่วนแพ่งในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1554/2529ของศาลแขวงนครสวรรค์เป็นเรื่องเดียวกันตามความหมายของบทกฎหมายดังกล่าวฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีส่วนแพ่งในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1554/2529 ของศาลแขวงนครสวรรค์อันต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง (1) และปัญหาข้อนี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้”
พิพากษายืน

Share