แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้อำนวยการธนาคารจำเลยมีฐานะเป็นนายจ้างตามคำนิยาม”นายจ้าง” ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2แต่ก็เป็นนายจ้างของพนักงานของจำเลยมิใช่เป็นนายจ้างของจำเลยฐานะระหว่างโจทก์และจำเลยนั้น โจทก์ก็เป็นผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่จำเลยเพื่อรับค่าจ้างของจำเลย โจทก์จึงเป็นลูกจ้างของจำเลยตามคำนิยาม “ลูกจ้าง” ในประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับดังกล่าว โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยย่อมมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของจำนวนเงินค่าชดเชยนั้นในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่1 ตุลาคม 2528 ซึ่งเป็นวันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2535สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยเฉพาะส่วนที่นับจากวันที่ฟ้องย้อนหลังไปเกินกว่า 5 ปี จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 166
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นลูกจ้างของจำเลย เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์ให้มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินมีอำนาจทำการต่าง ๆ แทนจำเลยในฐานะผู้จัดการธนาคารโดยโจทก์ดำเนินกิจการให้เป็นไปตามกฎหมายซึ่งอำนาจหน้าที่ของโจทก์แตกต่างจากลูกจ้างหรือพนักงานของจำเลยลูกจ้างหรือพนักงานของจำเลยต้องมีสัญญาเข้าทำงานและสัญญาค้ำประกันความเสียหาย แต่โจทก์ไม่มี โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าชดเชยสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์เป็นเงิน 235,560 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2528 ถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2533 คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยจึงมีฐานะเป็นนายจ้างมิใช่ลูกจ้างของจำเลย ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าชดเชยตามกฎหมายนั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่โจทก์เป็นผู้กระทำการแทนจำเลยนั้นแม้โจทก์จะมีฐานะเป็นนายจ้างตามคำนิยาม “นายจ้าง” ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ฉบับลงวันที่16 เมษายน 2515 ข้อ 2 ก็ตาม แต่ก็เป็นนายจ้างของพนักงานของจำเลยมิใช่นายจ้างของจำเลย ส่วนฐานะระหว่างโจทก์และจำเลยนั้นโจทก์เป็นผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่จำเลยเพื่อรับค่าจ้างของจำเลย โจทก์จึงเป็นลูกจ้างของจำเลยตามคำนิยาม “ลูกจ้าง” ในประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับดังกล่าว และมีสิทธิฟ้องเรียกค่าชดเชยซึ่งคำนวณแล้วเป็นจำนวนเงิน 235,560 บาท
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ต้องชดใช้เงินดอกเบี้ยในจำนวนเงินค่าชดเชยเพราะโจทก์ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยภายในกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2528 ซึ่งโจทก์พ้นจากตำแหน่งสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 นั้น เห็นว่า เมื่อฟังได้ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 แล้ว โจทก์ก็มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในจำนวนเงินค่าชดเชยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2528 ซึ่งเป็นวันเลิกจ้างเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 3 มีนาคม2535 สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยเฉพาะในส่วนที่นับจากวันที่ฟ้องย้อนหลังไปเกินกว่า 5 ปี จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 หาใช่ขาดอายุความไปทั้งหมดดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ ดังนั้น ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2528 ถึงวันที่ 1 ตุลาคม2533 จึงไม่ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยนับจากวันฟ้องย้อนหลังลงไป 5 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง