คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 198/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชได้เบิกเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เป็นเงิน 317,789.14 บาทจำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้ว่ายอดเงินที่อ้างว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 317,789.14 บาทนั้น ไม่เป็นความจริงคำให้การเช่นนี้เป็นการปฏิเสธเฉพาะยอดเงินกู้ ส่วนห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไทยถาวรพานิชจะได้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารโจทก์หรือเป็นหนี้โจทก์ดังคำบรรยายฟ้องหรือไม่ จำเลยมิได้ปฏิเสธโดยแจ้งชัดต้องถือว่าจำเลยรับถึงความข้อนี้ สำหรับยอดเงินที่จำเลยปฏิเสธอ้างว่าไม่เป็นความจริงนั้น จำเลยให้การปฏิเสธลอย ๆ มิได้อ้างเหตุว่าความจริงเป็นอย่างไรและยอดเงินมีจำนวนมากน้อยเท่าใด เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองคำให้การจำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะ นำสืบตามข้อต่อสู้ถึงยอดเงินว่าเท็จจริงอย่างไร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและขอแก้ฟ้องว่าโจทก์จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด และได้แต่งตั้งให้นายเสรี ทรัพย์เจริญ มีอำนาจดำเนินกิจการต่าง ๆ ของธนาคารโจทก์ รวมทั้งฟ้องร้องและต่อสู้คดี

จำเลยและนายปิ่น ปิ่นพานิชการ ได้ทำสัญญาค้ำประกันห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิช ที่ได้กู้เงินจากโจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวนเงิน 200,000 บาท และยอมรับผิดในการชำระหนี้ตามสัญญากู้อย่างลูกหนี้ร่วมกับผู้กู้ จำเลยได้จำนองที่ดินรวม 2 โฉนดเป็นเงิน 200,000 บาทเพื่อประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิช โดยยอมให้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดส่งดอกเบี้ยทุกเดือน ถ้าผิดนัดยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบเข้ากับต้นเงินตามประเพณีธนาคาร ต่อมาห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชได้ถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลาย ส่วนนายปิ่น ปิ่นพานิชการ ก็ได้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเช่นเดียวกันสำหรับหนี้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์นั้น ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชค้างชำระโจทก์อยู่เป็นเงิน 317,789.14 บาท โจทก์ได้บอกกล่าวบังคับจำนอง จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวนั้นแล้ว แต่ไม่ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 317,789.14 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ หากไม่ชำระให้เอาที่ดินทั้งสองโฉนดดังกล่าวตามฟ้องพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้าง ขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ ถ้าขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยมาชำระหนี้จนครบ

จำเลยให้การปฏิเสธเรื่องอำนาจกรรมการธนาคารโจทก์ และใบมอบอำนาจว่า ไม่ใช่ใบมอบอำนาจที่แท้จริง จำเลยไม่เคยมอบอำนาจให้นายธวัชเป็นตัวแทนจำเลยในการจำนองที่ดิน และไม่เคยมอบอำนาจให้นายธวัชลงชื่อในหนังสือต่อท้ายสัญญาจำนองกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยปฏิเสธเรื่องยอดหนี้ที่อ้างว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชเป็นหนี้เป็นเงิน 317,789.14 บาท ว่าไม่เป็นความจริง ทั้งขาดอายุความฟ้องร้อง โจทก์ไม่ได้แสดงรายการบัญชีเดินสะพัดมาพอให้ทราบได้ว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชได้ค้างชำระดอกเบี้ยมาตั้งแต่เมื่อใด จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม และการฟ้องเรียกเงินเกินจำนวน 200,000 บาท ก็ขาดอายุความ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยต่อไปในมูลหนี้ที่เกี่ยวกับผู้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และไม่มีสิทธิขอให้บังคับการชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยเพราะไม่ได้ระบุไว้ในสัญญาจำนอง และขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมโจทก์มอบอำนาจให้นายเสรี ทรัพย์เจริญ เป็นผู้ดำเนินกิจการบริษัทโจทก์ ตลอดจนการฟ้องร้องคดี ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชกับโจทก์ และได้ทำสัญญาจำนองที่ดินโฉนดให้โจทก์ เพื่อประกันหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี โดยนายธวัชเป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยในวงเงิน 200,000 บาท ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชเป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นเงิน 317,789.14 บาท แต่จำเลยทำสัญญาจำนองเพื่อค้ำประกันหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 200,000 บาท จำเลยต้องรับผิดเพียงจำนวนเงินดังกล่าว พร้อมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ตามสัญญาต่อท้ายจำนองระบุว่า เมื่อมีการบังคับจำนองเอาทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดแล้วและได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนที่ค้างชำระแล้ว ยังขาดอยู่จำนวนเท่าใด จำเลยยอมรับผิดชดใช้เงินที่ขาดจนครบ จำเลยจึงต้องรับผิดตามข้อตกลงนี้ พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระ ให้เอาที่ดินทั้งสองโฉนดพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาด ถ้าได้เงินไม่ครบจำนวนดังกล่าว ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยมาชำระจนครบ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียม (ค่าขึ้นศาลเท่าที่โจทก์ชนะ) และค่าทนายความ 2,000 บาท

โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้เป็นเงิน 317,789.14 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยเต็มตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 317,789.14 บาท และนายธวัชผู้รับมอบอำนาจได้ทำสัญญาจำนองให้จำเลยต้องรับผิดนอกเหนือจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 บัญญัติไว้ไม่ผูกพันจำเลยขอให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับกันไป

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาขึ้นมาแต่เพียงว่า พยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้หรือไม่ว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชได้เป็นหนี้โจทก์มีจำนวนเงินตามฟ้อง โจทก์บรรยายฟ้องว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชได้เบิกเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไปและค้างชำระโจทก์อยู่เป็นเงิน 317,789.14 บาท จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้ว่า ยอดเงินที่อ้างว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 317,789.14 บาทนั้น ไม่เป็นความจริง คำให้การเช่นนี้เป็นการปฏิเสธเฉพาะยอดเงินกู้ ส่วนห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชจะได้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารโจทก์ หรือเป็นหนี้โจทก์ดังคำบรรยายฟ้องหรือไม่ จำเลยมิได้ปฏิเสธโดยแจ้งชัดต้องถือว่าจำเลยรับถึงความข้อนี้ สำหรับยอดเงินที่จำเลยปฏิเสธอ้างว่าไม่เป็นความจริงนั้น จำเลยให้การปฏิเสธลอย ๆ มิได้อ้างเหตุว่าความจริงเป็นอย่างไร และยอดเงินมีจำนวนมากน้อยเท่าใด เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 คำให้การจำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบตามข้อต่อสู้ถึงยอดเงินว่าเท็จจริงอย่างไร โจทก์นำสืบฟังได้ว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชได้เบิกเงินไปจากธนาคารโจทก์และเป็นหนี้ธนาคารโจทก์เป็นเงิน 317,789.14 บาท ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 300 บาทแทนโจทก์

Share