คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1979/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว พ.ศ.2486 ก็ดี ประมวลกฎหมายที่ดินหมวด 8 ก็ดี มุ่งหมายบัญญัติว่าคนต่างด้าวจะได้มาซึ่งที่ดินมิได้ เว้นแต่จะเข้ากฎเกณฑ์ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ฉะนั้น คนต่างด้าวจะได้มาซึ่งที่ดินมิได้จึงเป็นหลัก และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นข้อยกเว้น หาใช่ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายที่ห้ามเด็ดขาดมิให้คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วถือเป็นเหตุในการวินิจฉัยว่าคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้เมื่อได้กรรมสิทธิ์แล้วก็มีสิทธิตั้งตัวแทนใส่ชื่อตัวแทนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ไม่ เพราะการวินิจฉัยเช่นนั้นมีผลทำให้ความมุ่งหมายของกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไร้ผลไปโดยสิ้นเชิง การที่คนต่างด้าวกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินโดยใส่ชื่อตัวแทนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์จึงไม่มีผล ตกเป็นโมฆะ และย่อมมีผลเป็นการทั่วไปทั้งแก่รัฐและเอกชนหาใช่เป็นเรื่องระหว่างรัฐกับคนต่างด้าวไม่ และแม้คนต่างด้าวนั้นจะได้รับสัญชาติไทยมาในภายหลัง ก็หาทำให้การอันเป็นโมฆะแต่เริ่มแรก กลับฟื้นคืนดีขึ้นมาไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ออกเงินซื้อที่ดินโฉนด ๒๐๕๘ และ ๓๐๕๙ มาจากเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิม แต่การโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนในขณะนั้นทำไม่ได้ เพราะโจทก์เป็นคนต่างด้าว โจทก์จึงตกลงกับจำเลยที่ ๑ ให้ลงชื่อเป็นผู้รับโอนไว้ก่อนเป็นการชั่วคราวต่อเมื่อโจทก์รับอนุญาตคืนสัญชาติเป็นไทยแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงจะโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของต่อไป
ครั้นวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๙๙ จำเลยที่ ๑ ทุจริตเอาที่ดินโฉนด ๓๐๕๙ ของโจทก์รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างไปขายฝากจำเลยที่ ๒ กำหนดไถ่ใน ๑ ปี ๖ เดือน โดยโจทก์ไม่ทราบหรือรู้เห็นยินยอมด้วยจำเลยที่ ๒ ก็ทราบก่อนรับซื้อฝากว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของโจทก์ ๆ ติดต่อจำเลยทั้งสองให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอม บัดนี้ โจทก์รับอนุญาตคืนสัญชาติไทยมีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้แล้วจึงขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินโฉนด ๓๐๕๙ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ หากไม่สามารถทำได้ก็บังคับให้จำเลยที่ ๑ โอนสิทธิไถ่ถอนการขายฝากให้โจทก์ และให้จำเลยที่ ๒ ยินยอมให้โจทก์ไถ่การขายฝากได้
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ตามฟ้องของโจทก์ที่ว่าเป็นผู้ออกเงินซื้อที่ดินแต่ให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในการซื้อนั้น จำเลยที่ ๒ ไม่ทราบและไม่รับรู้ข้อตกลงนั้น อย่างไรก็ตาม แม้การจะเป็นจริงตามฟ้องโจทก์ ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ โจทก์ก็หาอาจที่จะใช้ความจริงที่ว่านั้นมายันจำเลยที่ ๒ ให้เสียสิทธิใด ๆ ในที่ดินไปได้ไม่เพราะ ก.โจทก์รับอยู่ตามฟ้องว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทยไม่ได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะกล่าวอ้างและนำสืบเพื่อให้ศาลรับฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินด้วยอาศัยวิธีการหลีกเลี่ยงกฎหมายอย่างนั้นอย่างนี้ได้ เพราะถ้ายอมให้กล่าวและนำสืบเช่นนั้นได้ กฎหมายห้ามคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ย่อมจะไม่มีผล ข.แม้จะยอมให้โจทก์กล่าวอ้างและนำสืบเช่นที่ฟ้องมานี้ได้และโจทก์สืบสมก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ เสียสิทธิในการที่ได้รับซื้อฝากที่ดินไว้จากจำเลยที่ ๑ และได้จดทะเบียนการโอนที่ดินที่รับซื้อฝากนั้น เพราะจำเลยที่ ๒ ได้รับโอนที่ดินมาจากจำเลยที่ ๑ โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ซึ่งไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด โจทก์หามีสิทธิที่จะเรียกร้องให้เพิกถอนทางทะเบียนไม่ได้ นอกจากนี้ผู้ขายฝากไม่ได้ไถ่ถอนภายในกำหนด จึงหมดสิทธิไถ่และจำเลยที่ ๒ มิได้ทราบเลยว่าที่ดินนั้นเป็นของบุคคลอื่นใด นอกไปจากจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทะเบียนและโฉนด
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าโฉนด ๓๐๕๙ เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ โดยชอบทำสัญญาขายฝากให้จำเลยที่ ๒ โดยสุจริตมีค่าตอบแทน
ศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่มีกฎหมายที่ห้ามเด็ดขาดมิให้คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นแต่ว่าต้องรับอนุญาตจากเจ้าพนักงานก่อน และมีการจำกัดปริมาณเนื้อที่ดิน ๆ ฉะนั้นศาลแปลว่าคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ไม่เป็นโมฆะ และที่ดินที่คนต่างด้าวได้กรรมสิทธิ์มาแล้วก็มีสิทธิตั้งตัวแทนใส่ชื่อตัวแทนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ได้ไม่เป็นโมฆะ และศาลฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ ๑ เพียงแต่มีชื่อในโฉนดเท่านั้น โจทก์จึงมีสิทธิ์ไถ่ได้ และโจทก์ได้ใช้สิทธิไถ่ภายในกำหนดของสัญญา จึงพิพากษาให้ตามคำขอของโจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สำหรับข้อที่ว่าจำเลยที่ ๒ รับซื้อฝากที่ดินไว้จากจำเลยที่ ๑ โดยสุจริตนั้นไม่เป็นข้อโต้เถียงกัน ประเด็นเป็นอันยุติ และข้อที่ว่าการกระทำของโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมายว่าด้วยสิทธิในที่ดินของคนต่างด้าวโดยโจทก์ตกลงให้จำเลยที่ ๑ ลงชื่อเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ก็ฟังได้เป็นยุติเช่นกันว่าเป็นเช่นนั้นจริง ฟ้องของโจทก์ก็รับอยู่ ดังนี้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีอยู่ว่า เมื่อการกระทำของโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นไปดังกล่าว โจทก์จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือไม่และโจทก์จะเข้าสวมสิทธิจำเลยที่ ๑ ใช้สิทธินั้นต่อจำเลยที่ ๒ ได้หรือไม่เพียงใด
ศาลฎีกาพิเคราะห์ตัวบทกฎหมายเรื่องนี้แล้วเห็นว่า ความมุ่งหมายของกฎหมายดังได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว พ.ศ.๒๔๘๖ ซึ่งเป็นกฎหมายเดิมก็ดี และประมวลกฎหมายที่ดินหมวด ๘ อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ดี คนต่างด้าวจะได้มาซึ่งที่ดินมิได้ เว้นแต่จะเข้ากฎเกณฑ์ตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ฉะนั้น การที่คนต่างด้าวจะได้มาซึ่งที่ดินมิได้จึงเป็นหลัก และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นข้อยกเว้น เมื่อกฎหมายเป็นดังนี้ การที่จะวินิจฉัยว่าไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายที่ห้ามเด็ดขาดมิให้คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วถือเป็นเหตุในการวินิจฉัยต่อไปว่า คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ และเมื่อได้มาแล้วก็มีสิทธิตั้งตัวแทนใส่ชื่อตัวแทนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ได้ จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นว่า การที่คนต่างด้าวกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินโดยกรณีมิได้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ การนั้นไม่มีผลประการใด หรืออีกนัยหนึ่ง การนั้นเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๑๓ เพราะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายโดยชัดแจ้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่คนต่างด้าวตั้งตัวแทนและใส่ชื่อตัวแทนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดแทนตน จึงเกิดขึ้นมิได้ในตัว
การที่จะวินิจฉัยว่า การหลีกเลี่ยงกฎหมายว่าด้วยที่ดินในส่วนที่เกี่ยวด้วยคนต่างด้าว เป็นเรื่องระหว่างรัฐกับคนต่างด้าว ไม่เกี่ยวกับเอกชนต่อเอกชน เพราะเมื่อคนต่างด้าวไม่มีสิทธิจะถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ เมื่อได้ที่ดินมาด้วยประการใด คนต่างด้าวก็ต้องจำหน่ายจ่ายโอนไป นั้นศาลฎีกาเห็นว่าหาถูกต้องไม่ เพราะการฝ่าฝืนกฎหมายอันมีผลทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะนั้น ย่อมมีผลเป็นการทั่วไปทั้งแก่รัฐและเอกชน ใครจะอ้างหรือถือประโยชน์จากสิ่งที่เสียเปล่าไปแล้วนั้นไม่ได้ ส่วนการที่กฎหมายวางวิธีการให้คนต่างด้าวผู้ไม่มีสิทธิในที่ดินต้องจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินไปนั้นก็เป็นเพียงวิธีการ หาใช่หลักการที่จะถือเอามาเป็นเหตุวินิจฉัยแปลกฎหมายว่า คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ทั้ง ๆ ที่การมิได้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้นั้นไม่ อนึ่ง การที่จะวินิจฉัยว่าคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ ทั้ง ๆ ที่การมิได้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการวินิจฉัยที่มีผลทำให้ความมุ่งหมายของกฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ไร้ผลไปโดยสิ้นเชิง
เป็นอันว่า ในขณะที่จำเลยที่ ๑ รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมานั้น โจทก์เป็นคนต่างด้าว และการมิได้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายที่โจทก์จะถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ ดังนี้ โจทก์จึงมิได้อยู่ในฐานะที่จะขอให้บังคับตามคำขอท้ายฟ้องได้ไม่ว่าในประการใด ส่วนการที่โจทก์ได้รับสัญชาติไทยมาในภายหลังนั้นหากมีจริงก็หาทำให้การอันเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรกกลับฟื้นคืนดีมาไม่
จึงพิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์

Share