แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าขายเฉพาะหุ้นให้แก่จำเลยไม่รวมทั้งเงินปันผล จำเลยต่อสู้ว่าขายเหมารวมทั้งเงินปันผล ดังนี้แม้ในสัญญาปรากฏชัดว่าโจทก์ขายหุ้นส่วนแก่จำเลยก็ตาม เมื่อคดีปรากฏว่ายังมิได้มีการปันผลหุ้นที่มีอยู่ กรณีอาจจะรวมทั้งทุนกำไรก็ได้แล้วแต่จะเป็นที่เข้าใจในระหว่างกัน ฉะนั้นการที่จำเลยจะนำสืบว่าเป็นการขายเหมาทั้งสิทธิและหน้าที่นั้นจึงเป็นการนำสืบถึงข้อเท็จจริงที่ได้มีความเข้าใจกันอยู่ จะว่าเป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความที่ปรากฏชัดอยู่ในสัญญาแล้วยังไม่ได้.
ย่อยาว
คดีนี้     โจทก์แยกฟ้องจำเลยคนเดียวกันเป็น ๓ สำนวน  ใจความทำนองเดียวกัน   ศาลพิจารณาและพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้ง  ๓  ฟ้องว่าโจทก์กับบุคคลอื่น ๆ ได้เข้าหุ้นส่วนกับจำเลยตั้งโรงเลื่อย   จำเลยเป็นผู้จัดการ  กิจการโรงเลื่อยมีผลกำไรในปี ๒๔๙๔ – ๒๔๙๕ – ๒๔๙๖  รวมเป็นเงิน ๔๘๔,๔๘๐.๘๒  บาท จำเลยต้องแบ่งให้ นายประทีป โจทก์ ๖๐,๕๖๐.๑๐  บาท    ให้ นายพาณิช โจทก์  ๓๖,๓๓๖.๐๖  บาท  ให้ นายสุนทร โจทก์  ๑๒๑,๑๒๐.๒๐  บาท
ต่อมาวันที่  ๖  เมษายน  ๒๔๙๗  โจทก์ทั้ง  ๓  ได้ตกลงขายหุ้นของโจทก์ ให้แก่จำเลย  ส่วนเงินปันผลกำไรดังกล่าวจนบัดนี้จำเลยไม่ยอมจ่ายให้โจทก์  จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ตกลงขายหุ้นเหมาทั้งสิทธิและหน้าที่ของหุ้น  ราคาที่ขายสูงกว่าราคาหุ้นเดิมของโจทก์ที่ลงทุน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อที่โจทก์คัดค้านว่า  คำในหนังสือขายหุ้น  ก็ต้องแปลว่าขายเฉพาะหุ้น  จำเลยจะนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขว่เป็นขายทั้งหุ้นและผลกำไรด้วยไม่ได้  ศาลฎีกาเห็นว่าในเรื่องเช่นนี้เมื่อยังมิได้มีการปันผล หุ้นที่มีอยู่อาจจะรวมทั้งทุนกำไรก็ได้แล้วแต่จะเป็นที่เข้าใจในระหว่างกัน  ฉะนั้นการนำสืบว่าเป็นการขายเหมาทั้งสิทธิและหน้าที่นั้นจึงเป็นการนำสืบถึงข้อเท็จจริงที่ได้มีความเข้าใจกันอยู่  จะว่าเป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความที่ปรากฏชัอยู่ในสัญญาแล้วยังไม่ได้และฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ขายหุ้นเป็นการขายเหมารวมทั้งผลกำไร  พิพากษายืน.

