แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลจะมีคำสั่งหรือพิพากษาให้บุคคลใดล้มละลายย่อมกระทบถึงสิทธิและความสามารถตลอดจนสถานะบุคคลและทรัพย์สินของบุคคลนั้นเป็นเอนกประการซึ่งยังผลให้บุคคลภายนอกสามารถยกขึ้นอ้างและใช้ยันแก่บุคคลผู้นั้นได้ฉะนั้นก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวโจทก์ล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา14จึงบัญญัติให้ศาลพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา9และมาตรา10ถ้าศาลพิจารณาได้ความจริงให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไว้เด็ดขาดแต่ถ้าไม่ได้ความจริงหรือลูกหนี้นำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายให้ศาลยกฟ้อง จำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมโดยอ้างว่าจำเลยมีสิทธิเรียกร้องจากค่าจ้างว่าความจากบุคคลตามที่ระบุในหนังสือสัญญาจ้างว่าความรวมประมาณ2,850,000บาทและหนังสือรับรองเงินเดือนอีกเดือนละ28,000บาทกับอ้างพยานบุคคลอีกหลายปากภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วเพื่อแสดงให้เห็นถึงฐานะและความสามารถในการชำระหนี้ของจำเลยแต่ศาลชั้นต้นไม่รับบัญชีพยานเพิ่มเติมของจำเลยแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเป็นการไม่ให้โอกาสจำเลยนำพยานเข้าสืบเพื่อพิจารณาความจริงตามเจตนารมณ์แห่งโจทก์ล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา4กรณีมีเหตุจำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยตามบัญชีพยานเพิ่มเติมของจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไป 175,000 บาท แล้วจำเลยไม่ชำระ โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดสุรินทร์และศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 175,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 28 พฤษภาคม2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,500 บาท ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 346/2534 ของศาลจังหวัดสุรินทร์ และได้ล่วงเลยตามคำบังคับแล้วจำเลยก็ไม่ชำระ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2535 และวันที่ 31 มีนาคม2535 โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษา2 ครั้ง ภายในระยะเวลาห่างกัน 30 วัน จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยไม่มีทรัพย์สินใดอันจะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ และเป็นหนี้โจทก์เพียงถึงวันที่ 17 กันยายน 2535 รวมเป็นเงิน 340,009.50บาท จำเลยเป็นผู้มีหนี้สิน ล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้เป็นหนี้เงินกู้โจทก์ มิได้เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกา ของจำเลยประการแรกว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์หรือไม่ โจทก์นำสืบว่า ก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โจทก์เคยฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญากู้ยืนเงินจำนวน 175,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ศาลจังหวัดสุรินทร์พิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 175,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องไม่เกิน 110,322 บาท ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 346/2534 ของศาลจังหวัดสุรินทร์ คดีถึงที่สุดแล้วจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า จำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ และมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่และการที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยระบุพยานตามบัญชีพยานเพิ่มเติมฉบับลงวันที่ 1 เมษายน 2536 และฉบับลงวันที่31 สิงหาคม 2536 ชอบหรือไม่ ศาลฎีกาสมควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยระบุพยานตามบัญชีพยานเพิ่มเติมทั้งสองครั้งดังกล่าวชอบหรือไม่ก่อน เห็นว่าการที่ศาลจะมีคำสั่งหรือพิพากษาให้บุคคลใดล้มละลาย ย่อมกระทบถึงสิทธิและความสามารถตลอดจนสถานะบุคคลและทรัพย์สินของบุคคลนั้นเป็นเอนกประการ ซึ่งยังผลให้บุคคลภายนอกสามารถยกขึ้นอ้างและใช้ยันแก่บุคคลผู้นั้นได้ ฉะนั้นก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 จึงบัญญัติให้ศาลพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 9 และมาตรา 10 ถ้าศาลพิจารณาได้ความจริงให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ของลูกหนี้ไว้เด็ดขาด แต่ถ้าไม่ได้ความจริงหรือลูกหนี้นำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย ให้ศาลยกฟ้อง การที่จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 1 เมษายน 2536 และฉบับลงวันที่ 31 สิงหาคม 2536ขอระบุพยานเพิ่มเติมโดยอ้างว่าจำเลยมีสิทธิเรียกร้องจากค่าจ้างว่าความจากบุคคลตามที่ระบุในหนังสือสัญญาจ้างว่าความรวมประมาณ2,850,000 บาท และหนังสือรับรองเงินเดือนอีกเดือนละ 28,000 บาทกับอ้างพยานบุคคลอีกหลายปาก ภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วเพื่อแสดงให้เห็นถึงฐานะและความสามารถในการชำระหนี้ของจำเลย แต่ศาลชั้นต้นไม่รับบัญชีพยานเพิ่มเติมของจำเลยทั้งสองครั้งดังกล่าวแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเป็นการไม่ให้โอกาส จำเลยนำพยานเข้าสืบเพื่อพิจารณาความจริงตามเจตนารมณ์แห่งโจทก์ล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 14 กรณีมีเหตุจำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยตามบัญชีพยานเพิ่มเติมของจำเลยทั้งสองครั้งดังกล่าวต่อไป
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ให้ศาลชั้นต้นรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมฉบับลงวันที่ 1 เมษายน 2536และฉบับลงวันที่ 31 สิงหาคม 2536 ของจำเลย และดำเนินการสืบพยานจำเลยตามบัญชีพยานดังกล่าวแล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี