คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1974/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันในท้องที่ต่างๆเกินกว่าท้องที่หนึ่งขึ้นไปและความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตามที่โจทก์นำสืบกับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นและข่มขืนกระทำชำเราเป็นความผิดซึ่งมีหลายกรรมกระทำลงในท้องที่ต่างๆกันรวมทั้งในท้องที่สถานีตำรวจนครบางบางยี่ขัน กรุงเทพมหานครและสถานีตำรวจภูธรอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรีซึ่งพนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องมีอำนาจสอบสวนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา19วรรคหนึ่ง(3)(4)และวรรคสองฉะนั้นพันตำรวจโทว. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขันในขณะเกิดเหตุซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองถูกจับที่อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรีพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสอบสวนกรณีจับผู้ต้องหาได้แล้วเช่นนี้จึงเป็นที่แน่ชัดว่าคือพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอท่ามะกาซึ่งเป็นท้องที่ที่จับได้อยู่ในเขตอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา19วรรคสาม(ก)การที่พันตำรวจโทว. ได้ทำการสอบสวนคดีนี้หลังจากจับจำเลยทั้งสองได้แล้วพันตำรวจโทว. คงเป็นพนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจสอบสวนเท่านั้นแต่พันตำรวจโทว. มิได้เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบทั้งมิใช่กรณีที่จับผู้ต้องหายังไม่ได้อันจะถือว่าพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่พบการกระทำผิดก่อนอยู่ในเขตอำนาจเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา19วรรคสาม(ข)ได้เมื่อพันตำรวจโทว. มิใช่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบซึ่งมีอำนาจสรุปสำนวนและทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องส่งไปพร้อมกับสำนวนเพื่อให้พนักงานอัยการพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา140และ141แม้จะดำเนินการสอบสวนต่อไปจนเสร็จก็ถือไม่ได้ว่าได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อนโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา120โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 276, 284, 310, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลย ทั้ง สอง ให้การ ปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานางสาวรุ่งทิวา นักพาณิชย์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก, 284 วรรคแรก,310 วรรคแรก เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานข่มขืนกระทำชำเราวางโทษจำคุก4 ปี ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารวางโทษจำคุก 1 ปีฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นวางโทษจำคุก 3 เดือนรวมจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 5 ปี 1 เดือน จำเลยที่ 2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรกวางโทษจำคุก 3 เดือน อาวุธปืนของกลางเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดจึงให้ริบ ข้อหานอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
โจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ให้ริบของกลาง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์กันมาก่อน จำเลยที่ 2เป็นเพื่อนของจำเลยที่ 1 และเป็นเจ้าของบ้านเกิดเหตุซึ่งอยู่ที่อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2536โจทก์ร่วมได้พบกับจำเลยที่ 1 ที่แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร และโจทก์ร่วมได้นั่งรถยนต์ซึ่งจำเลยที่ 1เป็นผู้ขับจากสถานที่พบกันไปจังหวัดนครปฐม ต่อมาจำเลยที่ 1ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปยังบ้านเกิดเหตุ และพักอยู่จนกระทั่งจำเลยทั้งสองถูกจับเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2536 ขณะพักอยู่ที่บ้านเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ได้ร่วมประเวณีกับโจทก์ร่วมหลายครั้งชั้นจับกุมพันตำรวจโทธรรมจักร ตรีสุคนธ์ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุพรรณบุรี ร่วมกับเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลลูกแก อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรีจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมยึดอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียน 1 กระบอกไว้เป็นของกลาง คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขันกรุงเทพมหานคร มีอำนาจสอบสวนคดีนี้หรือไม่ ตามที่โจทก์นำสืบมาได้ความว่าจำเลยที่ 1 ได้หลอกลวงโจทก์ร่วมตั้งแต่แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เพื่อพาไปยังบ้านเกิดเหตุ ระหว่างทางจำเลยที่ 1 ใช้ยานอนหลับผสมในเครื่องดื่มให้โจทก์ร่วมดื่มจนโจทก์ร่วมนอนหลับไปเมื่อถึงบ้านเกิดเหตุโจทก์ร่วมถูกจำเลยทั้งสองหน่วยเหนี่ยวกักขังไว้ในบ้าน และจำเลยที่ 1 ได้ข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมที่บ้านเกิดเหตุ โดยใช้กำลังประทุษร้ายและใช้อาวุธปืนขู่เข็ญในวันเวลาต่าง ๆ กันหลายครั้ง จนกระทั่งจำเลยที่ 1 สำเร็จความใคร่ทุกครั้ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันในท้องที่ต่าง ๆ เกินกว่าท้องที่หนึ่งขึ้นไป และความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตามที่โจทก์นำสืบดังกล่าวกับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นและข่มขืนกระทำชำเราเป็นความผิดซึ่งมีหลายกรรม กระทำลงในท้องที่ต่าง ๆ กัน รวมทั้งในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขันกรุงเทพมหานคร และสถานีตำรวจภูธรอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งพนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องมีอำนาจสอบสวนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 วรรคหนึ่ง(3)(4)และวรรคสอง ฉะนั้น พันตำรวจโทวันชัย เปี่ยมสมบูรณ์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขันในขณะเกิดเหตุ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองถูกขับที่อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรีพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสอบสวนกรณีจับผู้ต้องหาได้แล้วเช่นนี้จึงเป็นที่แน่ชัดว่าคือพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอท่ามะกาซึ่งเป็นท้องที่ที่จับได้อยู่ในเขตอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 วรรคสาม (ก)การที่พันตำรวจโทวันชัยได้ทำการสอบสวนคดีนี้หลังจากจับจำเลยทั้งสองได้แล้ว พันตำรวจโทวันชัยคงเป็นพนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจสอบสวนเท่านั้นแต่พันตำรวจโทวันชัยมิได้เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ทั้งมิใช่กรณีที่จับผู้ต้องหายังไม่ได้อันจะถือว่าพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่พบการกระทำผิดก่อนอยู่ในเขตอำนาจเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 วรรคสาม(ข) ได้เมื่อพันตำรวจโทวันชัยมิใช่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบซึ่งมีอำนาจสรุปสำนวนและทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องส่งไปพร้อมกับสำนวนเพื่อให้พนักงานอัยการพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 140และ 141 แม้จะดำเนินการสอบสวนต่อไปจนเสร็จ ก็ถือไม่ได้ว่าได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อนโดยชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้ คำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมของผู้เสียหายย่อมเป็นอันตกไปด้วย ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ร่วมที่ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องโจทก์ต่อไป
พิพากษายืน

Share